พ่อของสหายเก่าแก่คนหนึ่งเล่าเรื่องเก่าๆให้ฟังนานมากแล้วว่า
....ตอนนั้นเป็นช่วงเวลาของสงครามโลกครั้งที่ 2 นาซีเยอรมันยึดนครเลนินกราด
(เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก) ไว้หลายเดือนแล้ว ชาวเมืองอดอยากล้มตาย ทั้งจากสงคราม
โรคระบาด และขาดอาหาร บ้านของพ่ออยู่กลางเมืองในสมรภูมิรบพอดี
ต้องคอยหลบกระสุนกับระเบิดเกือบตลอด 24 ชั่วโมง
แต่ถึงกระนั้นจะอยู่แต่ในบ้านก็ไม่ได้
จำเป็นต้องเสี่ยงชีวิตออกไปหาอาหารมาประทังชีวิต พ่อเองก็เป็นทหาร
แต่ถูกระเบิดบาดเจ็บที่ขาจนทุพพลภาพ
วันหนึ่งในขณะที่พ่อรอแม่กลับบ้าน คิดว่า อย่างน้อยมีขนมปังติดมือมาสักปอนด์ก็ยังดี
เพราะนอกจากลูกชายคนโตที่ออกไปรบอยู่แนวหน้าแล้ว
ที่บ้านยังมีลูกชายเล็กๆอีกคนหนึ่งที่ตั้งตารออาหารจากแม่
รอแล้วรอเล่าแม่ก็ไม่กลับมาสักที เสียงปืนต่อสู้อากาศยาน เสียงระเบิด
เสียงปืนของการต่อสู้ภาคพื้นดินรัวถี่ยิบ เป็นเวลานานกว่าเสียงเหล่านั้นจะเงียบลง
แต่แม่ก็ยังไม่กลับบ้าน แม่อาจหลบระเบิดอยู่ที่ไหนสักแห่ง
เสียงรถทหาร เสียงไซเรนจากรถพยาบาล การเคลื่อนย้ายผู้บาดเจ็บ
ทันใดนั้นมีรถบรรทุกคันหนึ่งที่ขนศพคนที่ตายจากการโจมตีของนาซีเยอรมันสุมๆกันมาจอดตรงหน้าพอดี
เพื่อจะรีบนำไปฝังในหลุมฝังศพรวมที่นอกเมือง
พ่อมองดูศพเหล่านั้นโดยปราศจากความรู้สึกใดๆ
มันมีแต่ความชาชินที่เห็นภาพแบบนี้ทุกๆวัน ได้แต่คิดว่าเมื่อไรสงครามจะยุติเสียที
บ้านเกิดของพ่อและที่อยู่ของครอบครัวจะได้สงบสุขสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ
ขณะที่คิดคำนึงอยู่นี้ พลันสายตาก็เหลือบไปเห็น "รองเท้า"....มันช่างเหมือนกับรองเท้าที่พ่อซื้อให้แม่เสียเหลือเกิน
ด้วยความสงสัยจึงขออนุญาตทหารที่คุมรถขึ้นไปดูศพที่สวมรองเท้าคู่นั้น
ภายในรถที่มีศพกองสุมกันอยู่จำนวนมาก พ่อจับตามองรองเท้าคู่นั้นไว้
มือก็เลื่อนขยับศพอื่นๆที่ทับศพล่างสุดที่สวมรองเท้าคู่นั้นออก และแล้วพ่อก็มองเห็นแม่...พ่อรีบบอกทหารที่ขับรถว่า
ศพนั้นคือภรรยาของเขา และขอนำศพภรรยาไปฝังเอง
ซึ่งทหารก็เข้ามาช่วยยกร่างของแม่ลงมา และสังเกตเห็นว่าแม่ยังหายใจอยู่
แม้จะอ่อนแรงเต็มทีก็ตาม พ่อพยายามจะรีบนำแม่ส่งโรงพยาบาล
แต่ทหารคนนั้นเตือนพ่อว่าแม่บาดเจ็บสาหัสมาก ถ้าเคลื่อนย้ายไปโรงพยาบาลอาจเป็นอันตราย
ให้รอรถพยาบาลดีกว่า ซึ่งกว่ารถพยาบาลจะมาถึงพ่อบอกว่ามันนานมาก
และนาทีนั้นพ่อไม่รู้จะพึ่งใครแล้ว นอกจากอธิษฐานขอพรพระเจ้า
ในที่สุดแม่ที่อดทนต่ออาการหนักหนาสาหัสผ่านการรักษาอยู่นานหลายเดือนจนหายเป็นปกติ
ในระหว่างนั้นก็มีข่าวร้ายมาถึงครอบครัวนี้อีก คือลูกชายคนโตเสียชีวิตในแนวหน้า
ส่วนลูกชายคนเล็กที่ถูกแยกจากพ่อแม่ไปเลี้ยงในศูนย์อภิบาลเด็กเล็กป่วยด้วยโรคคอตีบเสียชีวิตไปแล้วเช่นเดียวกัน
ศพถูกนำไปฝังในหลุมศพรวมชานเมืองเลนินกราด
พอสงครามยุติ ครอบครัวนี้เหลือกันอยู่แค่ 3 คน พ่อ แม่ และยาย
เท่านี้เองจริงๆ ญาติพี่น้องอื่นๆตายหมดไม่เหลือสักคนเดียว
สามีภรรยากลับมาใช้ชีวิตตามปกติ ตอนนั้นแม่ซึ่งมีอายุ 43
ปีแล้วเกิดตั้งครรภ์ขึ้นมา
ลูกหลงมาเกิดทดแทนลูกสองคนที่ครอบครัวนี้เสียไประหว่างสงคราม
วันที่ 7 ตุลาคม ค.ศ.1952 ลูกชายคนสุดท้องที่เป็นลูกคนเดียวของครอบครัวนี้ก็ถือกำเนิดขึ้นมา
ใครจะคิดว่าอีกหลายสิบปีต่อมาเด็กชายคนนี้จะเติบโตขึ้นกลายเป็นประธานาธิบดีของประเทศที่มีดินแดนกว้างใหญ่ไพศาลที่สุดในโลก
เป็นประธานาธิบดีที่มีอิทธิพลต่อความเปลี่ยนแปลงของโลกอย่างมหาศาล ใครจะคิด...ว่า
"รองเท้า" คู่นั้น จะมีผลเปลี่ยนโชคชะตาของโลกใบนี้
วลา เขารักดิเมียร์ ปูติน รักษาการตำแหน่งประธานาธิบดีรัสเซีย เมื่อวันที่ 31 ธันวาคม ค.ศ. 1999 เมื่อประธานาธิบดีบอริส เยลต์ซินลาออกจากตำแหน่ง ปูตินชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีในปี 2000 และในปี 2004 เขาได้รับเลือกตั้งกลับมาเป็นสมัยที่สอง ซึ่งเขาดำรงตำแหน่งถึงวันที่ 7 พฤษภาคม 2008 สิ้นปี 2020 นี้จะครบรอบ 20 ปี ที่นายวลาดิเมียร์ ปูติน ขึ้นสู่อำนาจในฐานะผู้นำรัสเซีย
วลา เขารักดิเมียร์ ปูติน รักษาการตำแหน่งประธานาธิบดีรัสเซีย เมื่อวันที่ 31 ธันวาคม ค.ศ. 1999 เมื่อประธานาธิบดีบอริส เยลต์ซินลาออกจากตำแหน่ง ปูตินชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีในปี 2000 และในปี 2004 เขาได้รับเลือกตั้งกลับมาเป็นสมัยที่สอง ซึ่งเขาดำรงตำแหน่งถึงวันที่ 7 พฤษภาคม 2008 สิ้นปี 2020 นี้จะครบรอบ 20 ปี ที่นายวลาดิเมียร์ ปูติน ขึ้นสู่อำนาจในฐานะผู้นำรัสเซีย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น