...
เรื่องเล่าจากผู้ทำหน้าที่ล่ามท่านหนึ่งในงานประชุมระดับชาติด้วยเห็นว่ามีมุมมองน่าสนใจ
และมีรายละเอียดหลายเรื่องที่เราไม่เคยรู้ จึงนำมาแบ่งปันให้อ่านกัน
เพื่อพิจารณากันหลายๆมุม
….
เมื่อวานนี้ทำงานล่ามให้เครือบริษัทยักษ์ใหญ่สัญชาติไทย-จีนที่กำลังจะเป็นพาร์ทเนอร์กับเครือบริษัทยักษ์ใหญ่ของญี่ปุ่น
จึงมีการจัดสัมมนาให้ฝั่งไทย-จีน-ญี่ปุ่นที่รับผิดชอบธุรกิจคล้ายกันมาระดมสมองว่า
จะสามารถร่วมธุรกิจกันให้เกิดผลเชิง Synergy ได้อย่างไรบ้าง
แน่นอนว่างานสัมนาระดับนานาชาติแบบนี้ต้องใช้ล่ามจำนวนเยอะมาก
ด้วยความที่มีการแบ่งโต๊ะย่อยสำหรับแต่ละกลุ่มธุรกิจประมาณโต๊ะละ 10 คน
วันนี้จึงได้เจอล่ามประกบผู้บริหารจีนที่อิมพอร์ตตรงมาจากจีนหลายคน
เอกลักษณ์ที่เห็นได้ชัดของล่ามจีนคือมีแต่คนรุ่นใหม่ ทุกคนเป็นผู้ชาย
แทบไม่มีใครอายุเกิน 30 เลย อายุเฉลี่ยน่าจะอยู่ที่ 25-27 ปี
ทุกคนแต่งตัวดีมาก ใส่สูทเข้ารูปดูทันสมัย เสื้อเชิ้ตกริบ เน็คไทเท่ดูไม่เชย
ผิวพรรณหน้าผมทุกอย่างได้รับการดูแลอย่างดี ที่สำคัญคือทุกคนสูงมากกก สูง 180+
ถึงแม้หน้าตาจะดูเป็นตี๋ธรรมดา แต่ด้วยการดูแลตัวเองอย่างดีและการเลือกใส่เสื้อผ้าที่เสริมบุคลิก
ขับจุดเด่นที่รูปร่างและมาดอันทันสมัยออกมา
ทำให้กองทัพล่ามจากจีนดูราวกับกองทัพนายแบบที่เห็นแล้วทำให้เรารู้สึกตัวเล็กไปทันที
พอได้ยินลีลาการล่ามของล่ามหนุ่มจีนแต่ละคนเราก็ยิ่งตกใจ
เพราะสำเนียงภาษาอังกฤษเป๊ะกันมาก
มากขนาดที่ทำเอาความมั่นใจในภาษาอังกฤษของเราแทบเหลือศูนย์
แถมวิธีการล่ามยังเป็นแบบที่เราไม่ค่อยได้เห็นคือ เป็นการล่ามแบบ whispering
+ simultaneous คือแปลสิ่งที่คนอื่นบนโต๊ะสัมมนาพูดให้ผู้บริหารที่ตัวเองประกบอยู่ฟังโดยกระซิบใส่หูแบบสด
ๆ โดยเวลาที่ผู้บริหารที่มีล่ามจีนประกบพูดก็จะพูดกระซิบใส่หูล่าม
ให้ล่ามแปลออกมาเป็นภาษาอังกฤษหรือญี่ปุ่นแบบสดต่อ ไม่มีการเว้นจังหวะให้แปล
สำหรับเราแล้ว ล่าม whispering เป็นล่ามที่ทำยากที่สุด
เพราะนอกจากจะต้องใช้ความสามารถและสมาธิในการแปลสดแล้ว
บ่อยครั้งที่สภาพการทำงานไม่เอื้ออำนวย
มีเสียงดังรบกวนทำให้แทบไม่ได้ยินเสียงคนพูด
แถมยังมีตัวแปรภายนอกมากมายที่ทำให้เสียสมาธิ
การแปลสดโดยฟังจากหูฟังในบูธจึงยังง่ายกว่า เพราะเอื้อต่อการรวบรวมสมาธิกว่ามาก
ด้วยเหตุนี้เราจึงทึ่งมากเมื่อเห็นล่ามจีนที่ดูอายุยังน้อยสามารถล่ามแบบนี้ได้
โดยล่ามออกมาเป็นภาษาอังกฤษที่สวยงาม ใช้ศัพท์ดี แกรมม่าเป๊ะ
แถมสำเนียงยังแทบไม่ต่างจากเจ้าของภาษา
ยิ่งได้ยินภาษาญี่ปุ่นจากปากล่ามคนเดียวกันยิ่งอึ้ง
เพราะสำเนียงสุดยอดมากชนิดหากหลับตาคงนึกว่าคนญี่ปุ่นพูดอยู่ แถมเคโกะยังเป๊ะ
ศัพท์แสงที่ใช้ก็ดูดีมีชาติสกุลเหมาะสมกับบริบท ลีลาการแปลกระชับไม่เยิ่นเย้อ
ที่สำคัญแปลได้เร็วแทบไม่เกิด lag เลย
จนดูเหมือนเขาพากย์เสียงอังกฤษ/ญี่ปุนให้ผู้บริหารที่พูดจีนอยู่เลย
สร้างแรงกดดันให้กับล่ามที่นั่งอยู่บนโต๊ะเดียวกันอย่างเราเป็นเท่าทวีคูณ
เพราะเราแก่กว่าเกือบ 10 ปีแต่เทียบเขาไม่ติดในทุก ๆ ด้าน
พอพักกินกาแฟ
ก็เลยหาโอกาสเข้าไปถามเขาว่าทำไมถึงเก่งได้ถึงเพียงนี้
เคยไปอยู่อเมริกาหรือญี่ปุ่นมาหรือเปล่า คำตอบที่ได้ก็ยิ่งช็อคขึ้นไปอีก
เพราะเขาไม่เคยไปเรียนต่างประเทศเลย ภาษาอังกฤษเรียนแต่เด็ก
ภาษาญี่ปุ่นเริ่มเรียนตอนม.ปลาย หลังจากจบมหาวิทยาลัยซึ่งเรียนเอกด้านภาษาแล้ว
ก็เข้าโรงเรียนล่ามต่ออีก 2 ปีเท่านั้น ที่ได้ภาษาจริง ๆ
คือในโรงเรียนล่ามนี่เอง เพราะการสอนโหดมาก ครึ่งวันสอนเทคนิค ภาษา ศัพท์เฉพาะ
และทฤษฎีในการล่าม
อีกครึ่งวันเข้าบูธจำลองสถานการณ์แปลสดอัดเสียงมาเปิดให้เพื่อนและครูวิจารณ์
การบ้านแต่ละวันคือการเอาไฟล์ที่อัดเสียงที่ตัวเองแปลวันนั้นไปฟังซ้ำว่าพลาดตรงไหน
แล้วนำคอมเมนต์ของเพื่อน
ครูและสิ่งที่ตัวเองฉุกคิดได้ขณะฟังซ้ำไปเขียนวิเคราะห์ว่าบกพร่องตรงไหนอะไรยังไงแล้วนำมาส่งครูวันรุ่งขึ้น
ซึ่งเป็นการทวนศัพท์และปรับปรุงสำเนียงและลีลาการล่ามตัวเองไปในตัว
ฟังแล้วรู้เลยว่าทำไมเขาถึงเก่งเพียงนี้
เพราะมีสถาบันที่เน้นเคี่ยวเชิงปฏิบัติไปพร้อมกับทฤษฎีคอยขัดเกลาฝีมือนั่นเอง
ที่จีนแทบไม่มีตลาดสำหรับล่ามพูดตามเพราะเสียเวลาลูกค้า
(ฟังแล้วจุกเพราะเหมือนโดนตบหน้า) ล่ามทุกคนฝึกการทำล่ามพูดพร้อมมาโดยพื้นฐาน
ถ้าทำไม่ได้ส่วนใหญ่ก็จะเรียนไม่จบโรงเรียนล่าม ไม่สามารถประกอบอาชีพนี้ได้
ตอนนี้การแข่งขันในวงการล่ามจีนยิ่งรุนแรงเพราะรายได้ดี คนอยากทำเยอะ
ทำให้ล่ามที่ได้แค่ 2 ภาษา (จีน/อังกฤษ หรือ จีน/ญี่ปุ่น
อย่างใดอย่างหนึ่ง) หางานยาก ต้องได้อย่างต่ำ 3-4
ภาษาถึงจะได้งานดี ๆ (ส่วนใหญ่จะเป็น จีนกลาง/จีนกวางตุ้ง/อังกฤษ/ญี่ปุ่น)
ยิ่งเป็นล่ามผู้บริหารการแข่งขันยิ่งสูง แค่ภาษาดีอย่างเดียวไม่ได้
หน้าตาต้องดีด้วย เพราะถือเป็นหน้าเป็นตาของผู้บริหารคนนั้น
ทุกคนเลยต้องรักษารูปร่างหน้าตาให้ดี แต่งตัวต้องเป๊ะ ที่ผู้ชายเยอะก็เพราะเวลาตามผู้บริหารไปล่ามตอนเลี้ยงรับรองลูกค้าดึก
ๆ ต้องเข้าผับเข้าบาร์จะได้ไม่มีปัญหา ที่ไม่มีล่ามแก่ ๆ เพราะพออายุได้สัก 30
แล้ว ส่วนใหญ่ล่ามก็จะเบนเข็มเข้าทำงานสายบริหาร
หรือไม่ก็เก็บเงินและสั่งสมความรู้เชิงธุรกิจระหว่างทำล่ามออกมาเปิดกิจการของตัวเอง...
ที่สำคัญล่ามที่มางานนี้ยังไม่ถือว่าระดับท็อป
เพราะถ้าตัวเด็ดจริง ๆ พวกบริษัท IT ที่กำลังบูมสุด ๆ อย่าง Foxconn,
Xiaomi, China Mobile ฯลฯ จะดึงตัวไปจากโรงเรียนล่ามเลย
ที่มาวันนี้ยังแค่ระดับรองท็อปเท่านั้น
เห็นล่ามหนุ่ม ๆ
ออกมาจากห้องประชุมด้วยท่าทางชิล ๆ คุยหัวเราะกันได้ปกติแล้วยิ่งสะท้อนใจ
เพราะเราเหนื่อยสมองจากการแปลมาก สำหรับเรางานนี้โหดมาก
ต้องแปลทั้งไทย-ญี่ปุ่น-อังกฤษ แบบ whispering สลับไปมาแทบตลอดเวลา
ออกมาแทบไม่มีแรงทำอะไรอย่างอื่น คืนก่อนก็นอนไม่พออีก เฟลตัวเองอีก
รู้สึกเลยว่าในอนาคต งานที่ต้องการความสามารถในการแปลเหมือนพากย์โดยต้องใช้มากกว่าสองภาษาแบบนี้จะเยอะขึ้นเยอะ
เพราะ 1. ไม่มีใครอยากเสียเวลาคุยกันสองเท่าเพื่อรอล่ามแปล
2. การร่วมทุนในระดับนานาชาติของธุรกิจใหญ่ ๆ
จะเพิ่มมากขึ้น ทำให้งานล่ามต้องการความยืดหยุ่นทางภาษาเพิ่มขึ้น
ล่ามที่แปลได้แค่สองภาษาจะหมดความหมายเพราะไม่ตอบโจทย์...
วันนี้ทำให้เรารู้เลยว่าจริง ๆ
แล้วเมื่อเทียบในระดับโลก เรายังตัวเล็กกระจ้อยร่อยด้อยความสามารถมาก ๆ skill
set ที่เรามีอยู่ก็เชยหลุดยุคไปแล้ว แก่กว่าเขา
แต่ความสามารถด้อยกว่าเขาหมด แม้แต่เรื่องภายนอกอย่างการแต่งตัวยังสู้เขาไม่ได้เลย
เราแค่โชคดีที่การแข่งขันในวงการล่ามไทยยังถือว่าต่ำมากเมื่อเทียบกับจีน
เลยอยู่รอดมาจนถึงทุกวันนี้ได้...
สรุปแล้วคำพูดที่ว่า
"ของที่ผลิตจากจีนคุณภาพห่วย" เป็นคำพูดที่ตัดสินคนอื่นเร็วไปมาก
แสดงถึงทัศนคติอันแสนคับแคบล้าหลังของคนพูด เพราะนอกจากมือถือรุ่นใหม่จากจีนจะดูมี
Innovation และคุ้มค่าคุ้มราคากว่ามือถือค่ายพรีเมียมแล้ว
ล่ามที่จีนผลิตออกมายังมีคุณภาพสูงชนิดที่เราอยากจะพัฒนาตัวเองใหม่เลย
https://bit.ly/3ViZjSj
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น