วันพฤหัสบดีที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2551

พี่ชายที่แสนดี

...
บ่ายวันหยุดวันนึง… ด้วยความที่บ้านรกจนเหลือทน ผมเลยตั้งใจว่าจะจัดการกับมันขั้นเด็ดขาด ทิ้งให้หมด อย่าเสียดาย สมบัติบ้าทั้งนั้น ขนมันออกไปกองหน้าบ้าน รอรถซาเล้งมาซื้อบ้าง หลายๆอย่างก็ทิ้งไปเลยบ้าง พยายามอย่าเก็บไว้ ความเสียดายกับความรกเป็นของคู่กัน…มีจักรยานสีฟ้าเก่าๆอยู่คันหนึ่ง อายุขนาดผมเนี่ย ถ้าจะเอาออกไปขี่ คงเหมือนละครสัตว์โชว์… อุบาทว์น่าดูของเก่าๆทั้งหลายเลยถูกนำมากองอยู่หน้าบ้านเต็มไปหมด ทั้งการ์ตูน หนังสือมากมาย ขนไป ก็ขายไป ตลอดบ่าย…แต่แล้ว… ก็มีเด็กชายคนนึงอายุประมาณ 12-13 คงเป็นเด็กในแฟลตใกล้ๆหมู่บ้าน มาด้อมๆมองๆ สุดท้ายก็เดินเข้ามาถามว่า"พี่ครับ ผมอยากได้หนังสือ กับจักรยาน แต่ผมไม่มีเงินให้พี่หรอกครับ…"ผมเงยหน้าขึ้นไปมองแล้วตอบกลับไป"เฮ้ย… อ้ายน้องหนังสือหน่ะ เลือกเอาไปได้เลย ตามสบาย…""อืมม์… แต่จักรยาน เอาไงดีหว่า เพราะลุงรับซื้อของเก่าเค้าก็จะเอา…."เด็กชายนิ่งเงียบ บอกขอบคุณผมเบาๆ ด้วยแววตาเศร้าเล็กๆ ก้มหน้า ก้มตา เลือกหนังสืออ่านเล่น หนังสือการ์ตูนเก่าๆ แยกออกไว้ แต่ก็แอบชำเลืองมอง รถจักรยานเก่าๆไปด้วยความเสียดาย…ผมสังเกตเห็นอยู่สักพัก ในใจนึกขำ ในที่สุดก็บอกลุงรับซื้อของเก่าว่าไม่ขายจักรยานแล้ว หันไปบอกเด็กชายว่า"ถ้าอยากได้ก็จะให้ แต่ต้องช่วยพี่ทำงานแลกกันดีมั๊ย…"เด็กชายยิ้มสดใส พยักหน้าอย่างดีใจตลอดบ่ายนั้นผมเลยมีลูกมือมาคอยช่วยขนของ รดน้ำต้นไม้… เพื่อแลกกับจักรยาน สีฟ้า… คันเก่าๆ…สองสามวันต่อมา ผมผ่านเข้าไปในแฟลต นึกว่าจะเข้าไปหาอะไรกินรองท้องก่อนกลับบ้าน แล้วก็ได้เห็นเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆคนนึง หัดถีบจักรยาน โดยมีพี่ชายคอยวิ่งจับท้ายรถให้ มีน้องชายคนสุดท้องวิ่งตามหลังอยู่อีกคน ทั้งสามคนหัวเราะเสียงดังสดใส น้องๆผลัดกันหัดถีบจักรยาน โดยมีพี่ชาย ยังคงวิ่งคอยตามจับท้ายรถ ไม่ให้ล้มไปตลอดทาง…ผมนั่งกินข้าวไปจนเสร็จ ก็ยังไม่เห็นพี่ชาย มีโอกาสได้ถีบจักรยานเลย แต่ทั้งสามก็ดูมีความสุขดี… รุมเล่นจักรยานสีฟ้า… คันเก่าๆ…วันอาทิตย์ต่อมา… วันแห่งความขี้เกียจ ผมนอนเปิดทีวีดูอยู่ในบ้าน มีเสียงเด็กๆ อยู่หน้าบ้าน เหมือนอยากเรียกผม แต่ไม่กล้า พอเดินออกไปก็พบพี่น้องสามคน ทันทีที่เห็นผม น้องชาย และน้องสาว รีบหนีไปหลบอยู่ข้างหลังพี่ชาย… แต่ก็ยังแอบโผล่หัวมามอง หัวเราะกันคิกคัก ผมอมยิ้มถาม…"ว่าไง…มีอะไรอ้ายน้อง…"พี่ชายยืนตัวตรงตอบด้วยเสียงดังฟังชัด"พี่ครับมีงานอะไรให้ทำอีกมั๊ยครับ น้องสาวผมอยากได้ตุ๊กตาครับ…"ผมยิ้มในใจอย่างนึกขำ… แล้วก็เลยอดดูทีวี มาคอยสอนไอ้ตัวเล็ก 3 คน ปลูกต้นไม้ ตลอดบ่ายวันนั้น ก่อนที่จะให้เงินพี่ชายไปซื้อตุ๊กตาให้น้องสาวจอมยุ่ง ในใจนึกสงสัยว่าอาทิตย์หน้า… อ้ายเด็กพวกนี้ แห่มากันอีกแหง๋ๆเลย

… จากลานธรรมเสวนา

วันจันทร์ที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2551

อ่านแล้วซึ้งมาก ๆ

...
ฉันเกิดในหมู่บ้านบนภูเขาที่ห่างไกลผู้คนแต่ละวันพ่อแม่ของฉันต้องพรวนดินในไร่ท่ามกลางแดดที่ร้อนระอุฉันมีน้องชายอยู่หนึ่งคน อายุน้อยกว่าฉัน 3 ปีวันหนึ่งฉันขโมยเงินของพ่อเพื่อไปซื้อผ้าเช็ดหน้าที่เพื่อนๆของฉันมีกันจากนั้นพ่อก็รู้เรื่องพ่อให้ฉันกับน้องคุกเข่าหันหน้าเข้าหากำแพงโดยที่ในมือพ่อมีก้านไม่ไผ่อยู่หนึ่งก้าน

"ใครขโมยเงินไป"

พ่อตวาดฉันกลัวมาก ไม่กล้าพูดอะไรออกไป น้องชายฉันก็เช่นกันพ่อจึงเอ่ยขึ้นว่า

"ก็ได้ ในเมื่อไม่มีคนรับสารภาพก็ต้องโดนลงโทษทั้งคู่นั่นล่ะ"

พ่อชูก้านไม้ไผ่ในมือขึ้นทันใดนั้น น้องชายของฉันก็ลุกขึ้นคว้าข้อมือของพ่อไว้....แล้วพูดว่า

"ผมขโมยเองครับ"

ก้านไม้ไผ่ก้านนั้นได้กระหน่ำลงบนหลังของน้องของฉันอย่างต่อเนื่องพ่อโกรธมาก พ่อตีน้องของฉันไม่หยุดจนพ่อหอบด้วยความเหนื่อยพ่อนั่งลงบนเก้าอี้และด่าว่าน้องชายของฉัน

" ของคนในบ้านแกเอง แกยังขโมยได้ต่อไปแกจะทำชั่วอะไรอีกแกน่าจะโดนตีให้ตาย ไอ้หัวขโมย"

คืนนั้น ฉันกับแม่กอดน้องชายของฉันไว้หลังของน้องมีแผลเต็มไปหมดแต่เขาไม่ได้ร้องไห้แม้แต่น้อย

กลางดึกคืนนั้น ฉันนอนร้องไห้เสียงดัง และนานมากน้องเอามือเล็กๆ ของเขามาปิดปากฉันไว้ แล้วพูดว่า

" พี่ครับ ไม่ต้องร้องไห้นะมันผ่านไปแล้ว"

ยังไงฉันก็อดที่จะเกลียดตัวเองไม่ได้ที่ไม่มีความกล้าจะบอกความจริงกับพ่อหลายปีผ่านไปแต่เหมือนกับว่าเหตุการณ์มันเพิ่งเกิดเมื่อวานนี้เองฉันไม่อาจลืมคำพูดของน้องชายตอนที่เขาปกป้องฉันได้เลยตอนนั้นน้องของฉันอายุ 8ปี ส่วนฉันอายุ 11ปี...

เมื่อตอนที่น้องชายของฉันใกล้จบ ม.ต้นเขาได้รับการตอบรับจากโรงเรียนม.ปลาย ว่าเขาสอบได้ ในขณะที่ฉันซึ่งใกล้จบ ม.ปลายก็ได้รับการตอบรับจากมหาวิทยาลัยของจังหวัดเช่นกันคืนนั้น พ่อได้นั่งสูบบุหรี่อยู่ที่สวนหลังบ้านฉันแอบได้ยินพ่อพูดว่า

" ลูกเราทั้งคู่เรียนดีเรียนดีมากนะ"

แม่ซึ่งนั่งเช็ดน้ำตาอยู่ข้างๆ พ่อ ได้พูดว่า

"แล้วเราจะส่งเสียลูกทั้งคู่ได้อย่างไรในเมื่อเราก็ไม่ค่อยมีเงิน"

ทันใดนั้น น้องชายของฉันได้เดินเข้าไปหาพ่อ แล้วพูดว่า

" ผมไม่ต้องการเรียนต่อผมอ่านหนังสือมามากพอแล้ว"

พ่อเหวี่ยงมือตบลงที่แก้มของน้องของฉันฉาดใหญ่

"ทำไมถึงคิดโง่ๆ อย่างนี้ต่อให้พ่อต้องไปเป็นขอทานข้างถนนพ่อก็จะส่งแกทั้งคู่เรียนจนจบให้ได้"

คืนนั้นทั้งคืน พ่อได้เดินไปตามบ้านต่างๆทั่วทั้งหมู่บ้าน....เพื่อขอยืมเงินฉันค่อยๆ เอามือประคบแก้มบวมๆของน้องชายเบาๆ และคิดว่า

" ต้องให้น้องได้เรียนต่อไม่เช่นนั้นเขาคงไม่อาจหลุดพ้นชีวิตลำบากเช่นนี้ไปได้"

แต่ในขณะเดียวกันฉันก็ไม่อาจล้มเลิกความคิดอยากจะเรียนต่อไปได้ใครจะรู้ได้ .......

วันต่อมาในตอนเช้ามืดน้องชายของฉันได้ออกจากบ้านไปพร้อมทั้งเสื้อผ้าติดตัวเพียงไม่กี่ชิ้นและถั่วเพียงเล็กน้อยเพื่อประทังความหิวก่อนไปเขาได้ทิ้งข้อความไว้ใต้หมอนของฉันขณะฉันกำลังหลับ

" พี่ครับ การจะเข้ามหาวิทยาลัยได้ ไม่ใช่ง่ายๆ นะ ....ผมจะไปหางานทำ...แล้วจะส่งเงินมาให้พี่"ฉันนั่งอยู่บนเตียงอ่านข้อความของน้องชายด้วยน้ำตานองหน้า .......

ฉันร้องไห้จนเสียงแหบแห้งไปตอนนั้นน้องของฉันอายุ 17ปี ส่วนฉันอายุ 20ปี .....

ด้วยเงินที่พ่อยืมมาจากคนในหมู่บ้านรวมกับเงินที่น้องชายของฉันได้รับเป็นค่าจ้างมาจากการทำงานเป็นกรรมกรแบกหามที่ไซท์ก่อสร้างท่าเรือ .......ฉันจึงสามารถเข้าเรียนมหาวิทยาลัยได้จนถึงปี 3

วันหนึ่งขณะที่ฉันกำลังอ่านหนังสืออยู่ในห้องพักเพื่อนร่วมห้องของฉันได้เข้ามาบอกว่า

"มีชาวบ้านมาหาเธอ...อยู่ข้างนอกแน่ะ"

ทำไมชาวบ้านถึงมาหาฉันล่ะ ???ฉันเดินออกไปแล้วมองเห็นน้องชายของฉันยืนอยู่ตัวของเขาเปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่นปูนและทรายจากงานก่อสร้าง...ฉันถามเขาว่า

"ทำไมไม่บอกเพื่อนพี่ไปว่าเป็นน้องชายพี่ล่ะ"
น้องชายของฉันตอบยิ้มๆ ว่า

"ก็ดูผมสิสกปรกมอมแมมออกอย่างนี้...ขืนบอกว่าเป็นน้องพี่ เพื่อนๆก้อได้หัวเราะเยาะพี่กันพอดี"

ฉันค่อยๆ เอื้อมมืออันสั่นเทาไปปัดฝุ่นให้น้องและพยายามพูดด้วยเสียงเครือๆในลำคอ
" พี่ไม่สนใจว่าใครจะพูดยังไงเธอเป็นน้องของพี่ ไม่ว่าเธอจะดูเป็นอย่างไรก็ตาม"

จากนั้น น้องของฉันได้ล้วงบางอย่างออกมาจากกระเป๋ากางเกงเป็นกิ๊บหนีบผมรูปผีเสื้อ . เขาติดกิ๊บให้ฉันแล้วพูดว่า

"ผมเห็นสาวๆ ในเมืองเค้าติดกัน ผมเลยอยากให้พี่ติดบ้าง"
ฉันหมดเรี่ยวแรงลงในทันใดดึงน้องชายเข้ามาสวมกอดและร้องไห้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าเป็นเวลานานตอนนั้นน้องของฉันอายุ 20 ปี ส่วนฉันอายุ 23 ปี .

วันที่ฉันพาแฟนหนุ่มของฉันมาที่บ้านเป็นครั้งแรกฉันสังเกตเห็นว่าหน้าต่างบ้านที่เคยแตกไป ได้ถูกซ่อมเรียบร้อยแล้วเมื่อเข้าไปในบ้านก็เห็นว่าบ้านสะอาดขึ้นมากหลังจากที่แฟนของฉันกลับไป ฉันพูดกับแม่ว่า

"แม่ไม่ต้องเสียเงินเพื่อทำความสะอาดบ้านกับซ่อมกระจกเพียงเพราะหนูจะพาแฟนมาที่บ้านหรอกนะคะ"

แม่ยิ้ม แล้วพูดว่า " แม่ไม่ได้จ้างหรอก...น้องชายลูกต่างหากวันนี้เค้าขอเลิกงานเร็วเพื่อกลับมาทำความสะอาดบ้านลูกยังไม่เห็นมือน้องหรอกเหรอน้องโดนกระจกบาดตอนกำลังเปลี่ยนกระจกบานใหม่น่ะ

"ฉันรีบเข้าไปหาน้องที่ห้องนอนของเขาฉันรู้สึกเหมือนถูกเข็มนับร้อยเล่มทิ่มลงกลางใจเมื่อได้เห็นบาดแผลบนมือฉันจับมือน้องเอาไว้อย่างเบามือที่สุด "เจ็บมากไหม"ฉันถาม

"ไม่เจ็บสักหน่อย พี่ก็รู้นี่ผมทำงานก่อสร้างนะ วันๆมีหินตกมาใส่เท้าผมเต็มไปหมดแต่มันก็ไม่ได้ทำให้ผมคิดเลิกทำงานหรอกนะและ..."น้องชายของฉันยังพูดไม่จบประโยค แต่ก็ต้องหยุดพูดเพราะฉันหันหน้าหนีเขาน้ำตาไหลอาบหน้าของฉันอีกครั้ง

"เพราะพี่เป็นพี่สาวของผมนี่ครับ" ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 23 ปี ส่วนฉันอายุ 26 ปี...

หลังจากนั้น ฉันก็ได้แต่งงานและย้ายเข้าไปอยู่ในเมืองหลายครั้งที่สามีของฉันชักชวนให้พ่อแม่ของฉันย้ายเข้ามาอยู่ในเมืองด้วยกัน...แต่ท่านทั้งสองก็ปฏิเสธท่านบอกว่า ท่านเคยย้ายออกจากหมู่บ้านครั้งหนึ่งแต่เมื่อออกไปแล้วท่านไม่รู้จะทำอะไรดีจึงได้ย้ายกลับเข้ามาใช้ชีวิตในหมู่บ้านตามเดิมน้องชายของฉันก็ไม่เห็นด้วยกับการที่จะให้เขาและพ่อแม่ย้ายออกไป ...

เขาบอกกับฉันว่า

"พี่คอยอยู่ดูแลพ่อและแม่ของสามีพี่ทางนั้นเถอะผมจะดูแลพ่อและแม่ทางนี้เอง"

สามีฉันได้ขึ้นเป็นประธานของบริษัทของ ครอบครัวเราทั้งคู่อยากให้น้องชายของฉันเข้ามารับตำแหน่งผู้จัดการบริษัท...แต่น้องชายของฉันก็ไม่รับตำแหน่งนี้เขาขอเข้าทำงานในตำแหน่งพนักงานธรรมดาวันหนึ่ง น้องชายของฉันต้องปีนบันไดขึ้นไปซ่อมสายเคเบิลและตกลงมาเพราะโดนไฟดูดเขาถูกรีบหามส่งโรงพยาบาลฉันและสามีรีบไปเยี่ยมเขาที่โรงพยาบาลน้องชายของฉันขาหักต้องเข้าเฝือกที่ขา...
ฉันโกรธมาก จึงตวาดน้องไปว่า

" ทำไมถึงไม่ยอมรับตำแหน่งผู้จัดการ หา!!!ถ้าเป็นผู้จัดการก็จะได้ไม่ต้องมาทำงานเสี่ยงๆอย่างนี้ดูตัวเองซิ...เจ็บเจียนตายอยู่แล้ว ทำไมถึงไม่ยอมฟังพี่บ้าง"

คำตอบจากปากน้องของฉันรวมถึงสีหน้าเคร่งเครียดยังยืนยันความคิดเดิมของเขา

"พี่ลองคิดถึงพี่เขยสิครับ พี่เขยเพิ่งจะได้เป็นประธานส่วนผมมันการศึกษาต่ำถ้าผมได้เป็นผู้จัดการคงจะมีเสียงนินทาว่าร้ายเต็มไปหมด"น้ำตาปริ่มดวงตาของฉันรวมทั้งสามีของฉันด้วย .....ฉันบอกกับน้องว่า

"แต่ที่เธอไม่ได้เรียนต่อก็เพราะพี่...""

ทำไมต้องพูดถึงเรื่องที่ผ่านไปแล้วด้วยล่ะครับ"น้องชายของฉันจับมือฉันไว้ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 26 ปี ส่วนฉันอายุ 29 ปี...

เมื่อน้องชายของฉันอายุได้ 30 ปีเขาได้แต่งงานกับผู้หญิงในที่ทำงานที่เดียวกันในงานแต่งงาน ประธานในงานได้ถามน้องชายของฉันว่า

" ใครคือคนที่คุณรักที่สุดในชีวิตนี้"

น้องชายของฉันตอบอย่างไม่ลังเล "พี่สาวของผมครับ" .....

และเขาก็เล่าเรื่องราวที่แม้แต่ฉันยังจำไม่ได้

"ตอนผมอยู่โรงเรียนประถม โรงเรียนอยู่อีกหมู่บ้านหนึ่งเราสองคนพี่น้องต้องใช้เวลาถึง 2 ชม.เพื่อเดินไปเรียน...และเดินกลับบ้านวันหนึ่งในวันที่หิมะตกหนักผมทำถุงมือหายไปข้างหนึ่งพี่สาวผมจึงได้ให้ถุงมือของเธอข้างหนึ่งและเธอก็ใส่ถุงมือเพียงข้างเดียวเดินเป็นระยะทางไกลเมื่อเรากลับถึงบ้านมือเธอบวมแดงเพราะอากาศหนาวเธอไม่สามารถจับช้อนทานข้าวได้ด้วยซ้ำ .......นับจากวันนั้นผมสาบานกับตัวเองว่าตลอดชีวิตของผม ผมจะดูแลพี่สาวของผมให้ดีและจะทำดีกับเธอ"

เสียงปรบมือดังกึกก้องไปทั่วสายตาทุกคู่ของแขกเหรื่อหันมาจับจ้องที่ฉันคำพูดจากปากฉันออกมาอย่างยากลำบาก .......
"ในโลกใบนี้คนเดียวที่ฉันรู้สึกขอบคุณที่สุด คือน้องชายของฉันค่ะ"

ในวาระที่มีความสุขที่สุดเช่นนี้น้ำตาได้รินไหลออกมาจากสองตาของฉันอีกครั้ง...จงรัก และห่วงใยคนที่คุณรักในทุกๆวันในชีวิตของคุณและเขาคุณอาจจะคิดว่าสิ่งที่คุณทำให้ใครสักคนเป็นเพียงสิ่งเล็กๆน้อยๆแต่สำหรับคนคนนั้นอาจจะมีความหมายมากอย่างคาดไม่ถึง.. ไม่ว่าเขาคนนั้นจะคือพ่อ แม่ พี่ น้อง ญาติ คนรัก เพื่อนหรือแม้คนที่คุณไม่รู้จัก ก็ตาม

จบบริบูรณ์....

ปล.ปัจจุบันผู้เป็นพี่สาวอายุ 86 ปีตำรงตำแหน่งเป็นผู้บริหารใหญ่บริษัทฮุนไดและในเครือกว่า 20 บริษัทน้องชายอายุ 83 ปีเป็นผู้ก่อตั้งบริษัทเล็กๆ ที่มีชื่อเป็นภาษาเกาหลีว่า"ซัมซุง"และเรื่องราวของท่านทั้ง 2 คนกำลังถูกนำมาสร้างเป็นซี่รี่ย์ โดยดาราเล็กๆ คนคือ ซอง เฮ เคียว และ ลี ดอง ฮุคครับบู มิง ฮอง

http://www.ohozaa.com/club/view.php?qID=88

วันเสาร์ที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2551

ผู้ชายอาไร้...น่ารักชะมัด

...
สองสามวันก่อน แม่ป่วย... ผู้หญิงใจแข็งคนนั้น ยืนกรานว่าจะไม่ไปโรงพยาบาลโดยเด็ดขาด เธอกินยาจีน พักผ่อนอยู่บ้าน เสียงบ่นของแม่...หายไป กลับมีเสียงของใครอีกคนขึ้นมาแทน...

เสียงของพ่อ พ่อที่ปกติแล้วลูกๆ ทุกคนลงมติว่า...

ดุ และ เงียบขรึม วันนี้พ่อกลายเป็นผู้ชายขี้บ่นไปซะแล้ว... พ่อบ่นทั้งวันและทุกวัน เรื่องที่บ่นก็มีอยู่เรื่องเดียว... บ่นแม่

พ่อบ่นว่า แม่ไม่ยอมไปหาหมอ แต่...คนขี้บ่นนี่แหละ ที่ไปปรึกษาเภสัชกรที่ร้านขายยา ซื้อหายาอมแก้เจ็บคอ ยาแก้ไข้ที่แม่ใช้ประจำมาวางไว้ให้ข้างเตียง

พ่อ...ที่ปกติชอบออกไปหากับข้าวแปลกๆ ข้างนอกกินเป็นกิจวัตร บ่นว่าเบื่อกินข้าวที่บ้าน แต่...พ่อก็สั่งเมณี่ไปซื้อกับข้าวที่ร้านโปรดของแม่มากินที่บ้าน เพียงเพราะไม่อยากให้แม่อยู่บ้านคนเดียว

แม่แตะกับข้าวได้คำเดียว...เอาใจพ่อ ทั้งๆ ที่เมณี่ก็ว่ากับข้าวอร่อยดี

แต่...พ่อกลับว่า วันนี้เชฟฝีมือตก ทำไม่อร่อย...เลยไม่ถูกปากแม่

แล้ววันนี้...แม่อาการดีขึ้น ลุกขึ้นมาเดินเหินได้นิดหน่อย บ่น...อยากกินแครกเกอร์กับโกโก้ร้อน แต่...ของแห้งที่บ้านหมด รวมทั้งแครกเกอร์ยี่ห้อโปรดด้วย

พ่อ...ผู้ชายที่แสดงออกตลอดเวลา...ว่าเกลียดการเดินซูเปอร์มาเก็ต บอกลูกๆ ว่าน้ำส้มของพ่อหมด ไปซื้อกันเถอะ

พวกเราอมยิ้ม ผู้ชายปากแข็ง...จะบอกว่าไปซื้อของให้แม่ก็ไม่ได้ ต้องอ้างยังโน้นยังงี้

แต่...แค่ย่างเท้าเข้าห้างสรรพสินค้า คนจะซื้อน้ำส้มเดินหา...แครกเกอร์ เฮ้อ...

พ่อ...มีโรคประจำตัว...โรคหัวใจ พ่อต้องเดินช้าๆ เพราะไม่อยากให้หัวใจทำงานหนักเกินไป แต่ในซุปเปอร์มาเก็ตวันนี้ พ่อเดิน...เข้าช่องโน้น ออกช่องนี้ เพราะแม่กินได้แต่ข้าวต้ม ข้าวต้มซอง ชนิดมีกับพร้อมปรุง ถูกพ่อกวาดมาทุกชนิด เครื่องข้าวต้ม...ทั้งผักดอง ผักกระป๋อง พ่อหยิบทุกขวดทุกกระป๋องมาอ่าน...หายี่ห้อที่แม่ชอบ

ความจริงจะสั่งเมณี่ไปหาซื้อน่าจะง่ายกว่านะ แต่พ่อก็เลือกที่จะทำเอง เพราะพ่อเลือกของเหล่านั้น...ด้วยความรัก

เมณี่ทำได้แค่เข็นรถตาม... แต่แค่นี้ก็ยากแล้วนะ เพราะเข็นตามไม่ทันสักที ถ้าเทียบกับใจที่ไปถึงชั้นวางขวดผักดองเรียบร้อยแล้วของผู้ชายตรงหน้า หลังที่เริ่มคุ้มงอตามวัยของพ่อ นำอยู่ข้างหน้าหน้าลิ่วๆ

ตาของพ่อ...ที่มีไว้มองผู้หญิงคนเดียวในชีวิต มองหาแต่สรรพสิ่งที่เหมาะกับแม่ ณ วินาทีนั้น

เมณี่อิจฉา...อิจฉาผู้หญิงที่นอนป่วยอยู่ที่บ้าน อิจฉาแม่ตัวเอง เพราะพ่อที่ลูกๆ คุ้นเคย คือผู้ชายที่ไม่เคยแคร์ใคร...

กับลูกๆ...เรารู้...พ่อรัก เพราะพ่อแสดงออกกับเราเสมอ

หากกับแม่...พวกเราเพิ่งรู้...พ่อห่วงแม่มากมาย คงเพราะปกติเราเห็นแต่แม่ที่คอยดูแลพ่อ โรคประจำตัวพ่อเยอะแยะนี่นา แม่...ซึ่งเป็นผู้หญิงที่แข็งแรง อึด...ในสายตาพวกเรา ยามเมื่อได้รับการดูแลจากพ่อ ดูเหมือนจะซึ้งไม่ต่างจากเรา คนซึ่งร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาตลอดยี่สิบห้าปี ดูแลกันและกันยามป่วยไข้ คงไม่มีอะไรน่าชื่นใจไปกว่านี้แล้วมั้ง

=========================

เมณี่หันมามองรอบตัว สักวันข้างหน้า...ยามเมื่อชีวิตได้ผ่านวันเวลา ทั้งความสุข ความทุกข์ ความโศก จะมีใครสักคนมั้ย...ที่ยืนข้างๆ เมณี่ ดูแล...ยามที่เมณี่ป่วยไข้ จะมีใครสักคนมั้ย...ที่จำได้ กับแค่แครกเกอร์ยี่ห้อโปรดของเมณี่ จะมีใครสักคนมั้ย...ที่ยอมเดินฝ่าฝูงคนพลุกพล่านที่ตัวเองแสนเกลียด เพียงเพื่อเครื่องกระป๋อง... ที่อยากจะเลือกสรรแต่สิ่งดีๆ เพื่อคนอันเป็นที่รัก

จะมีใครสักคนมั้ย...ที่ส่งยาอมแก้เจ็บคอให้เมณี่ พร้อมกับบอกว่า 'คราวก่อนเจ็บคอ กินแล้วหาย นี่ยังเหลือ เอาไปกินสิ' ทั้งๆ ที่ยาอมหลอดนั้น มันยังไม่ได้แกะ !!! ผู้ชายที่เก๊ก...รักษาฟอร์มแม้แต่กับคนใกล้ตัวใกล้ใจ


ผู้ชายอาไร้...น่ารักชะมัด

http://www.kunchann.net/forums/lofiversion/index.php/t523.html

แจกันหยก

...

ครอบครัวที่น่ารักอยู่ครอบครัวหนึ่ง ในครอบครัวนี้มี พ่อ แม่และบุตรชายวัย 5 ขวบกำลังน่ารักเลยทีเดียวเจ้าหนูเป็นเด็กที่ซนและขี้สงสัยอย่างมาก

วันหนึ่งเจ้าหนูนึกครึ้มอกครึ้มใจ ไปคว้าเอาแจกันหยกแกะสลักต้นราชวงศ์หมิงซึ่งหมายความว่ามันราคาแพงมากก นำมาเล่นพลิกคว่ำพลิกหงายสักพักก้อล้วงมือเข้าไปในแจกัน

ทันใดนั้นเจ้าหนูก้อทำตาโต ดูเหมือนจะดีใจที่ล้วงเข้าไปเจออะไรสักอย่างแต่ เจ้าหนูจะดึงมือออกมาไม่ได้ เจ้าหนูเริ่มกระสับกระส่ายพยายามดึงมือออกมาแต่ก้อไม่สำเร็จ จึงร้องไห้ด้วยเสียงอันดัง


เสียงร้องไห้ ทำให้ให้พ่อและแม่ต้องวิ่งมาดูเมื่อมาพบเข้าต่างก้อพยายามช่วยกันดึงมือของเจ้าหนูออกจากแจกันด้วยวิธีต่างๆน้ำมันก้อแล้ว น้ำสบู่ก้อแล้วทำอีท่าไหนก้อไม่ออก

ในที่สุดผู้เป็นพ่อต้องตัดใจทุบแจกันหยกราชวงศ์หมิงทิ้งเพื่อรักษามือของลูกชายเอาไว้เมื่อมือของเจ้าหนูหลุดจากแจกันแล้วพ่อและแม่ก้อพบว่ามือเจ้าหนูกำอะไรบางอย่างจนแน่นผู้เป็นแม่จึงถามลูกว่า

"หนูกำอะไรอยู่จ้ะลูก ?"




"มันเป็นสตางค์ครับ"

เจ้าหนูตอบพร้อมกับค่อยๆแบมือออกอย่างทนุถนอมจึงปรากฏว่าในมือเจ้าหนูมีเพียงเหรียญสลึงอยู่สองเหรียญ

เจ้าหนูทำให้ครอบครัวต้องสูญเสียของมีค่ากว่าเป็นพันๆเท่า

แล้วเพื่อนๆ ล่ะ ขณะที่คุณกำลังใช้ชีวิตอยู่นี้ คุณกำลัง"กำ"อะไรไว้ในชีวิตบ้าง
เงิน?  บ้าน?  งาน?   รถ?  ทิฐิ? ...

แล้วสิ่งที่คุณกำอยู่ทำให้คุณสูญเสียอะไรที่มีค่ามหาศาลไปบ้างเวลา
....ครอบครัว....พ่อแม่.....คนที่รักเรา.....

     นั่นสิคุณ "กำ"อะไรอยู่??

http://www.oknation.net/blog/jakul/2007/07/13/entry-1

วันพฤหัสบดีที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2551

เสน่ห์ยาแฝด ".......(แรมพิศวาส ฉบับจริง)

http://pha.narak.com/topic.php?No=12626
******************************

ฉันกับแฟนคบกันมา 4 ปี มีโครงการจะแต่งงานกันสิ้นปีนี้ แต่แล้วจู่ๆ เค้าก็มาบอกว่า "เราเลิกกัน" "เค้าไม่ได้รักฉันแล้ว ตอนนี้เค้าพบคนใหม่ ตลอดเวลาเค้าหลอกฉันมาตลอดว่ารัก เค้าจะแต่งงานกับผู้หญิงคนใหม่สิ้นปีนี้" ฉันทำทุกวิถีทางเพื่อจะฉุดรั้งเค้ากลับมา ฉันถามว่าฉันผิดตรงไหน ไม่ดีตรงไหน ฉันจะปรับปรุงตัวใหม่ เค้าต้องการอะไรฉันทำให้ได้ทุกอย่างและยอมทุกอย่าง ขอเพียงแค่ "กลับมาเหมือนเดิม" แต่สิ่งที่ฉันได้รับคือความเฉยชา, หงุดหงิด, รำคาญ ทำอะไรก็ผิดไปหมด

"เพื่อน" แนะนำฉันให้ "ไปทำเสน่ห์" ปกติฉันเป็นคนที่กลัวเรื่องพวกนี้ไม่อยากยุ่งเกี่ยว ไม่อยากเข้าใกล้ แต่ ณ จุดจุดนี้ ไม่ได้แล้ว ความรักบังตาฉันยอมทุกอย่าง ขอเพียงได้เค้ากลับคืน อะไรก็ได้สำหรับฉัน ณ ตอนนี้ "ปู่ฤาษี" คือผู้ที่เพื่อนฉันพาไปหา เพื่อนบอกว่า "ท่านเก่ง ญาติของเพื่อน สามีหนีไปอยู่กับเมียน้อยท่านก็เป็นคนเรียกกลับมา ทุกวันนี้ทั้งรักทั้งหลงภรรยา ไม่ไปมีใหม่อีกเลย" บ้านปูนชั้นเดียว มีลานจอดรถที่พอจอดรถยนต์ได้ประมาณ 10 คัน วันแรกที่ฉันไปมีรถยนต์จอดอยู่ 3 คัน มองเข้าไปในบ้านมีคนนั่งจนล้นออกมาข้างนอกมีเสียงหัวเราะดังออกมาเป็นระยะ เพื่อนพาฉันเข้าไป

ภาพที่ฉันเห็น "ชายหนุ่มอายุน่าจะประมาณ 28 – 29 ปี ผมยาวมีลายสักเต็มตัว นัยต์ตาหวานเยิ้ม มือคีบบุหรี่พูดไป ยิ้มไป ปล่อยมุกสนุกสนาน ทำให้ผู้ที่เข้ามาหาหัวเราะเป็นระยะๆ นุ่งชุดลายเสือ ดูดีมีเสน่ห์ " คนนี้เรอะที่เพื่อนบอกว่าเป็นปู่ฤาษี ทำไมยังหนุ่ม แต่ ณ วินาทีนั้นความรักบังตาไม่ได้คิดอะไร เพื่อนบอกว่าดี ฉันก็เชื่อโดยที่ไม่ได้คิดถึงเหตุการณ์ในวันข้างหน้าเลย

เราสองคนนั่งรออยู่ประมาณครึ่งชั่วโมง คนที่เข้ามาล็อคแรกก็ออกไป ถึงคิวของฉัน เพื่อนแต่งขันธ์ห้า (ดอกไม้ 5 คู่ เทียน 5 คู่) พร้อมเงิน 100 บาท ให้ฉันเขียนชื่อ-นามสกุล พร้อมที่อยู่ ของฉันและของแฟน ยื่นให้

ปู่ฤาษี "...(เอ่ยชื่อฉัน) ดวงไม่ดี จะถูกแย่งของรัก .. (เอ่ยชื่อแฟน) คนนี้เป็นแฟนใช่มั๊ย" ฉันตอบ "ใช่ค่ะ" มีอะไรจะถาม"ท่านถามฉัน ......เงียบ .....ฉันก็ไม่รู้จะถามอะไร

เพื่อนหันมาสะกิด "ตอบไปซิ" ก็ไม่รู้จะตอบอะไร..........

ท่านนั่งหลับตาสวดคาถาประมาณ 5-10 คำ แล้วหันมาถาม " รักเค้ามาก ตอนนี้ใจเศร้าหมอง มีแต่คิดจะฆ่าตัวตาย ...อยากได้เค้ากลับมามั๊ย" ท่านหันมาถาม "อยากได้ค่ะ" ฉันตอบ "ถ้าอยากได้คืน จะช่วย แต่จะต้องจ้างน่ะ มีเงินเท่าไหร่"

"สองพันค่ะ"

ท่านหลับตาสักพัก "ไม่ใช่หรอก ในกระเป๋าตังค์มีเงิน ห้าพันบาท ในสมุดบัญชีมีเงินอีก 3 หมื่น"

ฉันตกใจ ท่านรู้ได้อย่างไง "ถ้าอยากได้คืน ปู่คิดค่าจ้าง 3 หมื่น"

"ตกลงค่ะ" ฉันตอบตกลง "จะบ้าเหรอ 3 หมื่นน่ะแก ไม่คิดก่อนหรือไง" เพื่อนฉันตกใจรีบหันมาถามฉัน แต่สำหรับฉันตอนนี้อะไรก็ไม่สำคัญเท่าการได้แฟนกลับคืนมา ปู่ฤาษี มองหน้ายิ้ม ๆ "ให้ไปเอา..................................."

ท่านสั่งให้ฉันนำสิ่งของมาเข้าพิธี รุ่งขึ้น เดินทางไปหาปู่ฤาษี ไปถึงก็มีคนมารอท่านเต็มอาศรมไปหมด

รายแรก มากันประมาณ 5-6 คน แต่งขันธ์ 5 จานเดียวใส่เงิน 100 บาท แต่มีรายชื่อในกระดาษประมาณ 10 ชื่อได้ ท่านรับขันธ์ 5 ไป หลับตาสวดมนต์ ดูให้ทีละคน การทำนายของท่านแม่นเหมือนตาเห็น ท่านจะทักเกี่ยวกับที่อยู่อาศัยก่อนว่า เป็นลักษณะไหนอยู่ตรงไหนมีอะไรเป็นจุดเด่น (มาทราบภายหลังว่าท่านไม่ได้ดูจากวันเดือนปีเกิด แต่จะส่งจิตไปยังบ้านที่เราอาศัยอยู่เพื่อไปตรวจสอบยังสถานที่ ท่านจึงต้องถามว่าสถานที่ที่ท่านไปถูกต้องหรือไม่)
ท่านจะทักแต่ละคนตามรายชื่อที่เขียนไป จนกระทั่งไปสะดุดที่ชื่อของลูกสาวของคนที่มาดู
"มันหนีออกจากบ้านไปใช่มั๊ย" (จริง ๆ แล้วท่านจะพูดเป็นภาษาอีสาน แต่ว่าฉันแปลเป็นภาษาภาคกลางให้เพื่อจะได้เข้าใจ)
"ใช่จ๊ะ" คนเป็นแม่พูด น้ำตาเริ่มไหล ท่านหลับตาสวดมนต์สัก 5-10 คำ " มันหนีไปกับผู้ชายตอนนี้มันอยู่ กาฬสินธ์ อยู่บ้านเค้า"
"ปู่ช่วยหน่อย ตามมันกลับมาให้หน่อย" แม่พูดไปพร้อมเช็คน้ำตา ฉันเองก็พาลจะน้ำตาไหลตามไปด้วย

ท่านสวดมนต์สักพัก

"เออ....ปู่จะช่วย วันจันทร์มันจะกลับมา พอมันมาแล้วให้พามันมาหาปู่…….."

ท่านพูดปลอบใจเขาสักพักแล้วก็เริ่มสอนให้เข้าใจถึงวิถีชีวิตของมนุษย์เป็นคำสอนตามแบบของศาสนา จนพ่อแม่ของน้องผู้หญิงผ่อนคลายหายเศร้าท่านจึงให้กลับ

รายที่ สอง
เป็นชาวบ้านมาประมาณ 4-5 คน รายนี้ภรรยาหนีตามชู้ไป ทิ้งสามีกับลูกสองคน สามีเค้ารักภรรยามาก อยากได้ภรรยาคืน ฤาษีท่านดูไปแล้วทักว่า ภรรยาของแกหนีตามผู้ชายข้างบ้านไป ผู้ชายคนนั้นก็มีภรรยาแล้วใส่เสน่ห์ภรรยาของแกด้วย พอท่านพูดถึงตรงนี้ ผู้หญิงที่มาด้วยบอกว่าเป็นสามีของแกเอง ปู่จึงหันมาถามว่าจะเอาคืนด้วยหรือ ฝ่ายหญิงตอบว่าไม่เอา ปู่จึงหันไปถาม ฝ่ายชายว่าจะเอาคืนจริง ๆ หรือ ไม่รังเกียจเค้าหรือที่เค้าทำแบบนี้ โกรธเค้าไหม เกียจเค้ามั๊ย ซึ่งฝ่ายชายก็ยืนยันคำเดียวว่าจะเอาคืน ท่านถามซ้ำ 3 ครั้ง ฝ่ายชายก็ยังยืนยันคำเดิม ท่านรับปากว่าจะช่วยแล้วให้บูชาของสิ่งหนึ่งไป เรียกเก็บเงิน 500 บาท ฉันเริ่มสงสัย เอ...ทำไมของฉัน 3 หมื่น ส่วนของคนนี้แค่ 500 บาท แต่ก็ยังไม่ได้ถามตอนนั้น

รายที่ 3
เป็นคุณยาย พาหลานสาวมากราบท่าน บอกว่าเป็นคนนี้ที่หนีออกจากบ้านแล้วให้ท่านตามมาให้ กลับมาแล้วตามที่ท่านบอก ท่านเรียกน้องผู้หญิง (อายุประมาณ 16-17 ปี) เข้ามานั่งต่อหน้าท่านแล้วเริ่มสอน ซึ่งคำสอนของท่านฉันฟังแล้วน้ำตาแทบไหล..... "เห็นหน้ายายมั๊ย แกเสียใจขนาดไหน เค้าเลี้ยงเรามากี่ปี แต่ผู้ชายอีกคนพึ่งเจอกันไม่เท่าไหร่ ทำไมถึงทุ่มเททุกอย่างให้เค้าได้ขนาดนั้น ยายเค้าเสียใจขนาดไหนเห็นมั๊ย (คุณยายเริ่มเช็ดน้ำตา) ที่ปู่ช่วยไม่ได้อยากช่วยเราน่ะ ปู่สงสารยายของเราถึงได้ช่วยเรียกกลับมา....." ท่านสอนอยู่นานพอควร

เกือบบ่าย 2 ถึงคิวฉันซะที ท่านหันมายิ้ม "เดี๋ยวจะทำน้ำมนต์ให้อาบ" ท่านให้ฉันอาบน้ำมนต์โดยท่านเป็นผู้ปลุกเสก จะมีผู้ชายอีกคนเป็นคนอาบให้ ในระหว่างที่อาบเค้าก็จะสวดคาถาไ ปด้วย
หลังจากอาบน้ำมนต์เสร็จ ท่านก็ให้นำของที่เตรียมมาให้ ทำพิธีอยู่ประมาณ 10 นาที หลังเสร็จพิธีท่านผูกแขนให้ฉันแล้วสั่งให้ฉันปฏิบัติตามคำสั่ง
1. ทุกวันตอนเย็น ให้ฉันเดิน 999 ก้าว โดยให้นับทีละก้าวห้ามนับผิด หากนับผิดหรือไม่แน่ใจให้เริ่มนับใหม่
2. ก่อนนอนให้สวดมนต์ 99 จบ
3. ให้คุยกับ คุณพ่อหรือคุณแม่ทุกวัน เล่าเรื่องต่าง ๆ ให้ฟังให้หมด ห้ามปิดบังและโกหก
4. ไม่ให้รับรู้หรือพูดคุยกับแฟนโดยเด็จขาด ภายใน 15 วัน หากผิดคำสัญญาจะต้องเริ่มนับหนึ่งใหม่จนกว่าจะครบ 15 วัน
ท่านให้ฉันปฏิบัติอยู่ 15 วันแล้วให้กลับมาหาท่านใหม่ ซึ่งท่านสัญญาว่าภายใน 15 วัน หากฉันทำได้ตามคำสั่งแฟนของฉันจะกลับมาหาฉันแน่นอน ฉันรับปาก และเริ่มปฏิบัติตามที่ท่านสั่งไว้

..เวลาเริ่มผ่านไปจากวันที่หนึ่ง เป็นวันที่สอง วันที่สาม วันที่สี่ วันที่ห้า.......วันที่สิบห้า

วันที่ 15 ครบจำนวนวันที่ท่านสัญญาไว้ ฉันเดินทางไปหาท่านแต่เช้า... "เป็นไง รู้สึกดีขึ้นบ้างหรือเปล่า" ท่านถาม "ค่ะ สบายใจขึ้น มากแล้วค่ะ" "รักเค้ามากเลยหรือ" ท่านถาม
"ค่ะ"
"ได้โทรหาแม่ทุกวันหรือเปล่า"
"โทรค่ะ"
"แม่ว่าไง เค้าเสียใจมั๊ย"
"แม่ไม่ว่าอะไรค่ะ ท่านจะคอยปลอบใจ แล้วท่านก็เสียใจมากค่ะ"
"แม่เสียใจ แล้วเราเสียใจมั๊ย" ฉันเงียบ เริ่มคิด
"เสียใจค่ะ"
"ตอนเราร้องไห้ แม่เค้าว่าไง"
" ...แม่เค้าก็ร้องไห้ค่ะ...."
"รักแม่มั๊ย"
"รักค่ะ"
"ใครทำให้เราเสียใจ ใครทำให้เราเป็นแบบนี้ ผู้ชายคนนั้นใช่มั๊ย"
ฉันนั่งนิ่ง น้ำตาเริ่มไหล.. "ทำงานมาเคยให้เงินแม่บ้างมั๊ย...เวลาไปตลาดเห็นกับข้าวเคยจำได้มั๊ยว่าแม่ชอบกินอะไร จำได้หรือเปล่าว่าตัวเราชอบกินอะไร...ทุกวันนี้กับข้าวที่ซื้อมากินเป็นที่เราชอบหรือเป็นที่ผู้ชายคนนั้นชอบ...ทำไมต้องให้เค้ามามีอิทธิพลอยู่เหนือตัวเองขนาดนั้น เค้าทิ้งเราไปเพราะอะไร...ตอบได้มั๊ย"
"เค้าไปมีคนใหม่ค่ะ"
"ทำไมเค้าไปมีคนใหม่" "
ไม่ทราบค่ะ" ฉันตอบไปพลางเช็คน้ำตา
"เพราะสันดาน เข้าใจคำว่าสันดานมั๊ย คนดี จะคิดดี ทำดี พูดดี คนไม่ดี ความคิดมันก็เลวไปด้วย อยากจะทุกข์ทรมานอยู่แบบนี้ไปตลอดชีวิต ก็จะเอามันคืนให้ แต่ถ้าอยากจะมีความสุข ไม่อยากให้แม่เสียใจ มีชีวิตที่ดี เจอคนดีๆ ก็เลิกกับมันซะ ปู่ไม่เคยเห็นใครตายเพราะอกหัก แต่ที่คนมันตายก็เพราะมันสิ้นคิด เพราะแพ้ใจตัวเอง ใจอ่อนแอ ถ้าไม่คิดไม่นำจิตไปวางไว้กับมัน มันก็จะค่อยๆ ดีขึ้นเอง บังคับตัวบังคับกายมันทำได้ แต่การบังคับใจถ้าไม่แกร่งจริงมันก็ยาก แต่ใจมันเป็นของเราถ้าเรายอมแพ้มัน เราก็จะแพ้ไปตลอดชีวิต ถ้าเราเคยเอาชนะมันได้บังคับมันได้ เราก็จะไม่มีทุกข์ ไม่มีใครช่วยเราได้หรอกหมอที่ไหนก็รักษาให้ไม่ได้ มีแต่ตัวเรากับเวลาเท่านั้นที่ช่วยตัวเราได้ สิบห้าวันผ่านมาเป็นไงบ้าง"
"ไม่ได้คิดอะไร ก็รู้สึกดีค่ะ"
"ทำต่อไปน่ะ ตัดใจซะ มันทำไม่ได้ทันทีหรอกแต่มันจะค่อยๆ ดีขึ้น คิดถึงแม่ไว้ให้มากๆ ไม่สบายใจอะไรก็เล่าให้เค้าฟัง ให้มีสติ อย่าไปจดจ่ออยู่กับมัน 15 วันผ่านมาไม่มีเค้าเราก็อยู่ได้ ไม่เห็นจะตายไม่ใช่หรือ ตัดใจซะเอาสมาธิไปจดจ่ออยู่กับสิ่งอื่น อย่าไปใส่ใจกับมัน คนมันไม่ดีก็ปล่อยมันไปตามวิถีชีวิตของมัน"

ปู่ฤาษี หันไปหยิบของในย่าม เป็นเงิน 3 หมื่นบาท ยื่นคืนให้ฉัน
"เงิน 3 หมื่น ปู่ไม่เอาหรอก ให้เอาไปเก็บไว้ 2 หมื่น เอาให้แม่ 5 พัน อีก 5 พัน ไปซื้อเสื้อผ้า เครื่องสำอาง แต่งตัวใหม่ให้ดูดีกว่านี้"

พูดจบแกก็หัวเราะ

"จำคำปู่ไว้ อย่าเชื่อใจคน อย่ามองเพียงแค่ภายนอก แล้วอย่าไปทำเสน่ห์ที่ไหนอีก ทุกคนมีเสน่ห์อยู่ในตัวเองอยู่แล้ว เพียงแต่เสน่ห์ที่เรามีจะถูกใจใครเท่านั้น
พวกนุ่งผ้าเหลือง ผ้าขาว บางคนสักแต่เอาผ้ามาห่ม แต่ใจมันไม่ใช่คน เราเป็นผู้หญิงต้องระวังตัวให้ดี ถ้าเจอคนดีก็ดีไป ถ้าเจอพวกไม่ดีเราจะเสียทั้งตัว เสียทั้งเงิน เสียทั้งใจ จะไปโทษใครบอกใครก็ไม่ได้ เราโง่เอง ..หยุด...ห้ามไปทำเสน่ห์ที่ไหนอีก จำคำปู่ไว้ให้ขึ้นใจ วันนี้แฟนเราจะมาหา ก็ตัดสินใจเอาก็แล้วกัน" ………………………………….
ฉันกลับที่พัก เริ่มนั่งคิดทบทวน เรื่องราวต่าง ๆ ที่ผ่านมา ความเจ็บปวดที่เคยมี ทุกครั้งฉันแทบจะทนไม่ได้ถ้าคิดถึงเค้า แต่ตอนนี้ทำไมความเจ็บปวดมันลดลง เริ่มมองเห็นสิ่งต่างๆ ที่ผ่านมา จิตใจที่เคยอ่อนแอ มันเริ่มแข็งแรงตั้งแต่เมื่อไหร่ฉันไม่รู้ น้ำตาที่เคยไหลไม่หยุดหากเมื่อไหร่ที่คิดถึงเค้า ทำไมมันหายไปไหน คำสอนของปู่ก้องอยู่ในสองหู ฉันตัดสินใจ.....จากนี้ต่อไปฉันต้องเข้มแข็ง

เสียงเคาะประตูหน้าห้อง
"ใครค่ะ" ฉันถาม
"เราเอง"
เหมือนที่ปู่บอกไว้ไม่ผิด เค้ามาจริงๆ ใจที่เคยเด็ดเดี่ยวเมื่อครู่หายไปไหนหมด หัวใจเต้นแรง ใจเริ่มอ่อน เริ่มหวั่นไหว "มีธุระอะไร" ฉันไม่ยอมเปิดประตู

"เราคิดถึง เปิดประตูให้เราหน่อย"

ฉันเริ่มสับสน น้ำตาเริ่มไหล จะทำไงดี คิดถึงคำพูดของปู่ฤาษี คิดถึงหน้าแม่
"กลับไปก่อนน่ะ วันนี้เรายังไม่อยากคุย ตอนนี้เราอยู่กับแม่ กลับไปเถอะ" ฉันโกหกเพราะรู้ว่าตัวเองยังไม่เข้มแข็งพอ หากเจอเค้าวันนี้ฉันต้องใจอ่อนแน่นอน .......................................................

ทุกวันนี้ฉันฝากตัวเป็นศิษย์ของท่าน ปู่ฤาษีคัมภีร์ แสนวัง
ผู้ให้ชีวิตใหม่แก่ฉัน ถ้าไม่มีท่านฉันก็ไม่รู้ว่าชีวิตของฉันจะต้องพบเจออะไร
อาจจะเจอสิ่งที่เลวร้าย เจอพวกซาตานในคราบ
นักบุญ ต้องเสียทั้งตัว เสียทั้งใจ จึงอยากจะขอเตือนเพื่อนๆ ที่คิดจะไปทำเสน่ห์
ให้ไตร่ตรองให้ดี ไม่ใช่ทุกคนจะโชคดี
เหมือนฉันเสมอไปน่ะค่ะ.... .

http://www.kumpee.net/board/
*****************************