วันพฤหัสบดีที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

เซีย

...

"เฉพาะชื่อของคน หนึ่งชื่อ ราคาแปดพันล้าน"

สมัยสงครามโ ลกครั้งที่สอง ประเทศเยอรมันมีบริษัททรัสท์เล็กๆแห่งหนึ่งชื่อ บ.บาบีนา    รับดูแลของมีค่าของลูกค้าโดยเฉพาะ   พอสงครามปะทุ ลูกค้าทยอยเบิกของมีค่าของตัวเองแล้วรีบหนีไปที่อื่นกัน
ส่วนเจ้าของบริษัทรวบรวมทรัพย์สินของตนแล้วก็หนีสงครามไปที่อื่น เหลือแต่พนักงานที่ชื่อ "เซีย" ยังอยู่เพื่อเคลียร์ของฝากที่ลูกค้าที่ยังไม่เบิกไป
ระเบิดเริ่มถล่มลงมาบริเวณรอบๆบริษัท แต่เธอยังคงนั่งเช็คบัญชีเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น   แล้วพบว่ามีลูกค้าชื่อไลเกอร์ยังไม่ได้มาเบิกทับทิมของตนเอง ซี่งมีราคาห้าพันล้านมาร์ค
เซีย  เก็บเอกสารและสิ่งของที่ลูกค้าฝากไว้     เก็บใส่กล่องแล้วก็ออกจากบริษัท หลังจากนั้นไม่กี่วันบริษัทบาบีนาถูกระเบิดถล่มเรียบเป็นหน้ากอง
เซียเองก็เหมือนชาวบ้าน    ต้องหนีสงครามไปทุกหนแห่ง แต่สิ่งที่เซียต้องพกติดตัวตลอดก็คือเอกสารและ
ทับทิมของลูกค้าที่ฝากไว้
เธอเองยังคงคิดว่าเธอคืพนักงานของบริษัทบาบีน่า จะรอให้สงครามสงบแล้ว จะนำเอกสารและทับทิมคืนให้กับบริษัท
หลังจากสงครามสงบ  เธอแลลูกสามคนกลับมาที่เบอร์ลินแต่เจ้าของบริษัททรัสท์ได้เสียชีวิตในระหว่างสงคราม บริษัทก็ไม่เหลืออยู่โดยปริยาย
แต่เซียยังคงเก็บรักษาทับทิมของลูกค้าเอาไว้  แม้ลูกค้าจะยังไม่มารับไป  เธอรักษาความซื่อสัตย์ของบริษัทเอาไว้
หลายปีผ่านไป  เซียใช้ชีวิตลำบากมากกับลูกสามคน
ในความเป็นจริง บริษัทไลเกอร์ ไม่เหลืออยู่แล้วในระหว่างสงคราม ทับทิมที่มีค่ามหาศาลนั้นเจ้าของก็ไม่รู้อยู่ที่ไหนแล้ว เซียสามารถนำทับทิมที่มีค่ามหาศาลนี้ไปขาย แล้วใช้ชีวิตอย่างสุขสมบูรณ์ได้โดยไม่มีใครรู้เรื่องนี้เลย    
แต่เธอไม่ได้คิดเรื่องนี้เลย เธอคิดอย่างเดียวมันคือหน้าที่ของเธอ จะไม่ทำในสิ่งที่ไม่ควร
1978    รัฐบาลต้องการสร้างพิพิธภัณฑ์สงครามโลกครั้งที่สอง  เซียได้นำเอกสารและทับทิมออกมามอบให้

ทางรัฐบาล พยายามทุกวิถีทางหาญาติของไลเกอร์จนพบหลานชื่อ โดล   และได้ตอบรับจะแบ่งให้ครึ่งหนึ่งหลังจากขายทับทิมได้   เซียปฏิเสธ  จะขอรับแต่ค่าแรงที่ดูแลรักษาเอกสารและทับทิมนี้ก็พอ
หลังจากเรื่องนี้ถูกตีพิมพ์เป็นข่าวออกไป  ผู้คนสะเทือนใจกับความซื่อสัตย์นี้เป็นอย่างมาก
มีคนเสนอให้เธอเป็นที่ปรึกษาของหอการค้า เธอปฏิเสธว่าด้วยอายุมากแล้ว ต่อมามีบริษัททรัสท์ใหญ่หลายบริษัท  ขอให้เธอดำรงตำแหน่งประธานกิตติมศักดิ์ เธอปฏิเสธหมด ไม่นานนักเธอก็ถึงแก่กรรม
หลายบริษัทมาหาลูกชายเซียชื่อคลิส     เพื่อขอซื้อสิทธิ์ "เซีย" มาเป็นชื่อบริษัทของตน
คลิสจึงใช้วิธีประมูล  สุดท้ายบริษัทเพลโตประมูลได้ด้วยราคาแปดพันล้านมาร์ค
หลายคนไม่เข้าใจ  ทำไมต้องใช้เงินมหาศาลเช่นนี้เพื่อแลกซื้อกับแค่ชื่อเดียว

ประธานบริษัทเพลโต กล่าวว่า
"เซีย"ไม่ใช่แค่ชื่อคนคนหนึ่งแล้ว มันหมายถึงจิตวิญญานแห่งความซื่อสัตย์ และสัจจะของผู้ประกอบการมันคุ้มมาก สำหรับการใช้เงินแปดพันล้านมาแลกซื้อชื่อนี้
ไม่นานนัก  บริษัทเพลโตเปลี่ยนชื่อบริษัททรัสท์เป็น "เซีย" ทำให้ยอดทางธุรกิจเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว
ความซื่อสัตย์และสัจจะ   เดิมทีแล้วมันมีคุณค่าของมันอยู่ในตัวอยู่แล้ว  เวลาคุณมีความศรัทธากับมัน จนเป็นหน้าที่ของคุณ  คุณก็จะได้ใจและความเชื่อถือกับผ้คน ในที่สุดเงินทองจะไหลมาเทมา #

ไม่มีความคิดเห็น: