วันเสาร์ที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ภาพยนต์ 2012

... เชื่อได้ว่าหลายท่านกําลังเฝ้ารอชมภาพยนตร์ 2012 ด้วยฝีมือของผู้กํากับ Roland Emmerich ที่เคยฝากผลงานที่น่าตื่นตาตื่นใจไว้หลายเรื่อง แม้ประเด็นของปี 2012 จะเคยถูกนํามาสร้างไว้ในภาพยนตร์เกรดบีหลายๆเรื่องก่อนหน้านี้ เช่น 2012 Doomsday,2012 Seeking Closure, Defcon 2012 เป็นต้น เรื่องราวของ 2012 ถูกเผยแพร่ไปตามสื่อต่างๆด้วยการย้ำทําให้เรื่องดูน่าตื่นเต้นและน่าหวาดกลัวมากขึ้น แม้บางคนจะไม่เคยรับทราบเรื่องราวเหล่านี้มาก่อนก็ตามที และ..นี้เองทําให้บางครั้งข่าวลือที่ส่งต่อออกไป มีความผิดเพี้ยนทางข้อมูลข่าวสารมากยิ่งขึ้น ข้อเท็จจริงจากวิทยาศาสตร์ที่เข้าใจได้ไม่ยากนัก และจะทําให้เราปรับความเข้าใจเกี่ยวกับมัน และช่วยลดกระแสตื่นตระหนกเรื่องปี 2012 ได้อย่างดี ผลงานที่ผ่านมาของ Emmerich ภาพจาก movie.idatablog.com 2012 : วันสิ้นโลก ? โดย วรเชษฐ์ บุญปลอด แม้จะผิดพลาดมาครั้งแล้วครั้งเล่า แต่การทำนายวันสิ้นโลกก็มีมายาวนานนับพันปี ดาวเคราะห์เรียงตัวกันเมื่อวันที่ 5 พ.ค. 2000 ก็เป็นหนึ่งในปรากฏการณ์ซึ่งเคยถูกนำมาอ้างว่าจะทำให้โลกถึงกาลดับสลาย คำทำนายครั้งใหม่ที่ดูเหมือนว่าจะแพร่หลายมากในอินเทอร์เน็ตขณะนี้ ก็คือการที่คนกลุ่มหนึ่งอ้างว่าจะเกิดหายนะขึ้นในวันที่ 21 ธ.ค. 2012 (พ.ศ. 2555) ด้วยเหตุผลต่างๆ นานา ไม่ว่าจะเป็นการที่ดวงอาทิตย์และโลกมาอยู่ในแนวเดียวกันกับระนาบดาราจักรทาง ช้างเผือก การมาเยือนของดาวเคราะห์ที่เรียกกันว่า "นิบิรุ" แม่เหล็กโลกกับดวงอาทิตย์สลับขั้ว และพายุสุริยะ คนกลุ่มนี้อ้างว่าเหตุการณ์ทั้งหลายจะเป็นสาเหตุนำมาซึ่งภัยพิบัติ ต่างๆ และอาจถึงขั้นมีการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ ก่อให้เกิดความสงสัย ความกลัว หรือแม้กระทั่งตื่นตระหนก ในคนที่เชื่อเรื่องดังกล่าว ภาพยนตร์เรื่องหนึ่งที่มีกำหนดเข้าฉายในปลายปี ก็สร้างขึ้นจากความสนใจในปรากฏการณ์นี้ บทความนี้ซึ่งแบ่งเป็นหลายตอน จะรวบรวมรายละเอียด อธิบายถึงความเป็นมาและมุมมองทางวิทยาศาสตร์ที่มีต่อการทำนายดังกล่าว ปฏิทินมายา มายาเป็นอารยธรรมโบราณอารยธรรมหนึ่งในอเมริกากลาง มีศูนย์กลางอยู่บริเวณตอนใต้ของเม็กซิโก กัวเตมาลา และทางเหนือของเบลีซ มีสิ่งปลูกสร้างทำด้วยหิน พีระมิด อักษรภาพ มีการบูชาเทพเจ้าและพิธีกรรม แสดงให้เห็นถึงความเจริญรุ่งเรืองของอารยธรรมซึ่งถึงจุดสูงสุดเมื่อราวปี 250-900 ก่อนจะเสื่อมถอยลง วันที่ 21 ธ.ค. 2012 ถูกยกขึ้นมาเป็นวันสิ้นโลก สาเหตุหนึ่งเป็นเพราะวันนั้นตรงกับวันสิ้นสุดปฏิทินรอบใหญ่ของชาวมายาที่ เรียกว่า Long Count ปฏิทินชนิดนี้เป็นหนึ่งในปฏิทินหลายแบบของชาวมายา (แบบอื่นที่เคยกล่าวถึงมาแล้วคือแบบที่เกี่ยวกับวัฏจักรการเคลื่อนที่ของดาว ศุกร์) พวกเขาใช้ตัวเลข 5 ตัว และเลขฐาน 20 เป็นหลักในระบบปฏิทินแบบ Long Count การเขียนจะใช้อักษรภาพแทนตัวเลข เรียงกันในแนวตั้ง โดยเริ่มนับที่ 0.0.0.0.0 ซึ่งพบว่าตรงกับวันที่ 11 ส.ค. 3,114 ปีก่อนคริสตกาล ตามปฏิทินเกรกอเรียน หรือ 6 ก.ย. ปีเดียวกัน ตามปฏิทินจูเลียน วันที่ 19 นับเป็น 0.0.0.0.19 จากนั้นเมื่อเข้าสู่วันที่ 20 จะนับเป็น 0.0.0.1.0 เลขหลักที่ 2 จากขวามือ ต่างกับหลักอื่นตรงที่จะใช้ตัวเลขสูงสุดถึงแค่ 18 ดังนั้น 0.0.1.0.0 จึงตรงกับวันที่ 360 (ประมาณ 1 ปี) 0.1.0.0.0 ตรงกับวันที่ 7,200 (ประมาณ 20 ปี) และ 1.0.0.0.0 ตรงกับวันที่ 144,000 (ประมาณ 394 ปี) การที่ชาวมายาใช้เลข 13 และ 20 เป็นรากฐานของระบบตัวเลข โดยปีหนึ่งมี 13 เดือน แต่ละเดือนยาวนาน 20 วัน จึงมีความเชื่อว่าปฏิทินแบบ Long Count นี้จะสิ้นสุดในวันที่ 13.0.0.0.0 ก่อนจะเริ่มรอบใหม่ วัฏจักร Long Count จึงยาวนาน 1,872,000 วัน (ผลลัพธ์ของ 13 x 20 x 20 x 18 x 20) หรือราว 5,125 ปี ซึ่งถ้านับมาจากจุดเริ่มต้นเมื่อ 3,114 ปีก่อนคริสตกาล วันที่ 13.0.0.0.0 ในปฏิทินมายาจะตรงกับวันที่ 21 ธ.ค. 2012 นอกจากการสิ้นสุดของปฏิทินมายาจะถูกนำมาเชื่อมโยงกับวันสิ้นโลก หรือบ้างก็ว่าเป็นการเข้าสู่ยุคใหม่แล้ว วันที่ 21 ธ.ค. ยังตรงกับวันเหมายัน (Winter Solstice) นับเป็นวันเริ่มต้นฤดูหนาวสำหรับคนที่อาศัยอยู่ในซีกโลกเหนือ และเป็นช่วงที่เวลากลางคืนยาวนานกว่าเวลากลางวันมากที่สุด เมื่อมองจากโลกจะเห็นดวงอาทิตย์โคจรมายังจุดที่เยื้องลงไปทางทิศใต้มากที่สุด ระบบสุริยะของเราอยู่ในดาราจักรที่เรียกว่าดาราจักรทางช้างเผือก มีลักษณะเป็นจานแบน ป่องออกตรงกลาง ระนาบของจานคือเส้นศูนย์สูตรของทางช้างเผือก สุริยวิถีซึ่งเป็นเส้นทางการเคลื่อนที่ของดวงอาทิตย์บนท้องฟ้า ลากผ่านกลุ่มดาวจักรราศี อยู่คนละ ระนาบกับเส้นศูนย์สูตรของทางช้างเผือก แต่มีจุดตัดกัน 2 จุด จุดหนึ่งอยู่ในกลุ่มดาวคนยิงธนู ปัจจุบันอยู่ใกล้กับตำแหน่งของจุดเหมายัน อีกจุดหนึ่งอยู่ตรงกลางระหว่างกลุ่มดาววัวกับกลุ่มดาวคนคู่ การคำนวณทางดาราศาสตร์พบว่า ตำแหน่งดวงอาทิตย์ในวันเหมายันจะผ่านระนาบทางช้างเผือกในช่วงปี 1980-2016 โดยผ่านศูนย์กลางพอดีในปี 1998 เหตุการณ์ลักษณะนี้เกิดขึ้นทุกๆ ประมาณ 26,000 ปี ตามคาบการส่ายของแกนหมุนของโลก จอห์น เมเจอร์ เจนกินส์ นักเขียนคนหนึ่ง เรียกการเรียงตัวกันนี้ว่า Galactic Alignment เขาอ้างว่าชาวมายาล่วงรู้ถึงการเรียงตัวกันดังกล่าว โดยสังเกตจากแนวมืดในแถบทางช้างเผือก ซึ่งเกิดจากฝุ่นที่บดบังแสงจาก ดาวเบื้องหลัง และยังอ้างอีกว่าชาวมายากำหนดจุดสิ้นสุดของปฏิทินแบบ Long Count ให้ตรงกับเหตุการณ์นี้ ซึ่งก็ยิ่งเพิ่มความโดดเด่นของวันที่ 21 ธ.ค. 2012 ให้มากขึ้นไปอีก ดาวเคราะห์เอกซ์ ภายหลังการค้นพบดาวเนปจูน ซึ่งเป็นดาวเคราะห์ดวงที่ 8 ในระบบสุริยะ เพอร์ซิวาล โลเวลล์ นักดาราศาสตร์ชาวอเมริกันพบว่าตำแหน่งของดาวยูเรนัสและเนปจูนต่างไปจากที่ ควรจะเป็น เขาจึงเสนอว่ามีดาวเคราะห์ขนาดใหญ่ที่อยู่ไกลออกไปอีกดวงหนึ่ง ส่งแรงโน้มถ่วงมารบกวน เขาเรียกมันว่าดาวเคราะห์เอกซ์ (Planet X) ซึ่งจะสังเกตว่า X ในที่นี้ แสดงถึงการเป็นดาวเคราะห์ ลึกลับที่ยังค้นไม่เจอ ไม่ใช่ตัวเลขโรมันที่หมายถึงเลข 10 แต่อย่างใด แต่เมื่อ ไคลด์ ทอมบอก์ ได้ค้นพบดาวพลูโตเมื่อปีค.ศ. 1930 และมันก็มีขนาดเล็ก มวลไม่มากพอที่จะส่งแรงโน้มถ่วงไปรบกวนการโคจรของดาวยูเรนัสและเนปจูนได้มาก เท่าที่คาดไว้ นักดาราศาสตร์จึงตามหาดาวเคราะห์เอกซ์กันต่อไป ซึ่งในคราวนี้มันคือดาวเคราะห์ดวงที่ 10 (ในสมัยที่พลูโตยังมีสถานะเป็นดาวเคราะห์อยู่) ปัจจุบันนักดารา ศาสตร์ไม่คิดว่าดาวเคราะห์เอกซ์ตามสมมติฐานของโลเวลล์มีอยู่จริง เพราะหลังจากยานวอยเอเจอร์ได้เดินทางเฉียดใกล้ดาวยูเรนัสและเนปจูน ทำ ให้สามารถวัดมวลที่แม่นยำได้ อีกทั้งไม่พบแรงรบกวนใดๆ ที่มากระทำต่อยานอวกาศ 4 ลำที่เดินทางออกไปสู่อวกาศนอกระบบสุริยะ ทั้งไพโอเนียร์ 10 และ 11 กับยานวอยเอเจอร์ 1 และ 2 นักดาราศาสตร์อธิบายได้ว่าสาเหตุแห่งความผิดปกติในการโคจรของยูเรนัสและ เนปจูนที่โลเวลล์พบ เกิดขึ้นเพราะขณะนั้นยังไม่ทราบมวลของดาวเคราะห์ทั้งสองดวงที่แม่นยำพอ ทำให้ผลการคำนวณตำแหน่งคลาดเคลื่อนไปจากความเป็นจริง ดาวนิบิรุของ 'เซคาราย ซิตชิน' ผู้ที่มีส่วนสำคัญในทฤษฎีที่อาจเชื่อมโยงดาวนิบิรุกับดาวเคราะห์เอกซ์ มีอยู่ 2 คน คนหนึ่งเป็นนักเขียนนามว่า เซคาราย ซิตชิน (Zecharia Sitchin) อีกคนหนึ่ง คือ แนนซี ลีเดอร์ (Nancy Lieder) ผู้อ้างว่ามีความสามารถในการติดต่อกับมนุษย์ต่างดาว นายซิตชินเขียน หนังสือหลายเล่ม เล่มแรกตีพิมพ์เมื่อปี ค.ศ. 1976 เผยแพร่ความเชื่อในทฤษฎีพระเจ้าจากอวกาศ ที่ว่ามนุษย์ต่างดาวเคยมาเยือนโลกในอดีต การศึกษาคัมภีร์ไบเบิลและภาพจารึกโบราณอายุ 6,000 ปี ของชาวสุเมเรียน ที่แสดงให้เห็นวัตถุ 12 ชิ้นบนท้องฟ้า ซึ่งซิตชินตีความว่านั่นคือ ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ กับดาวเคราะห์อีก 10 ดวง ทำให้เขาเชื่อว่ามีมนุษย์ต่างดาวเดินทางมาจากดาวเคราะห์ที่ยังไม่พบอีกดวง หนึ่ง นั่นคือ ดาวนิบิรุ (Nibiru) เขาอธิบายอย่างเสร็จสรรพว่ามันโคจรรอบดวงอาทิตย์ในวงโคจรรูปวงรีที่มีความรี สูง (จุดใกล้ดวงอาทิตย์ที่สุดกับจุดไกลดวง อาทิตย์ที่สุด ต่างกันมาก) คล้ายวงโคจรของดาวหาง และยังระบุอีกด้วยว่าดาวนิบิรุเข้าใกล้ดวงอาทิตย์ทุกๆ 3,600 ปี ซิตชินอ้างว่านิบิรุคือเทพมาร์ดุก (Marduk) ในตำนานความเชื่อของชาวบาบิโลเนียนในเมโสโปเตเมีย ดินแดนลุ่มแม่น้ำไทกริส-ยูเฟรตีส ซึ่งเชื่อว่าเป็นจุดกำเนิดของอารยธรรมโลก บทกวีมหากาพย์ Enuma Elish ของบาบิโลเนียเล่าว่า มาร์ดุกต่อสู้ได้ชัยชนะเหนือมังกรเทียมัต (Tiamat) ชาวบาบิโลเนียนยกย่องบูชามาร์ดุกเป็นเทพเจ้าผู้สร้างจักรวาลและมนุษย์บนพื้น พิภพ เป็นผู้ลิขิตความเป็นไปของอาณาจักรและชะตาชีวิตของมนุษย์ ซิตชินใช้ตำนานความเชื่อนี้ นำมาสร้างทฤษฎีอธิบายว่า ดาวนิบิรุพุ่งชนกับดาวเคราะห์ดวงหนึ่งซึ่งโคจรอยู่ระหว่างวงโคจรของดาว อังคารกับดาวพฤหัสบดี ให้ชื่อว่า เทียมัต ตามตำนานเทพเจ้า ชิ้นส่วนชิ้นใหญ่ต่อมาได้กลายเป็นโลกและดวงจันทร์ ซากที่เหลืออื่นๆ กลายเป็นดาวเคราะห์น้อยและดาวหาง เขาเชื่อว่าบนดาวนิบิรุได้เกิด เผ่าพันธุ์มนุษย์ต่างดาวที่มีเทคโนโลยีก้าวหน้าขึ้น ชาวสุเมเรียนซึ่งยึดครองดินแดนทางใต้ของเมโสโปเตเมีย (ภายหลังคือบาบิโลเนีย) เรียกพวกเขาว่า อานุนนากี (Anunnaki) เป็นคนกลุ่มเดียวกับพวกเนฟิลิม (Nephilim) มนุษย์รูปร่างสูงใหญ่ราวกับยักษ์ ซึ่งปรากฏในหนังสือปฐมกาล (Genesis) ของคัมภีร์ไบเบิล ภาคพันธสัญญาเดิม (Old Testament) ที่เล่าเรื่องพระเจ้าทรงสร้างโลกและมนุษย์ ซิตชิน เล่าว่า ชาวอานุนนากีเดินทางมาถึงโลกเพื่อสำรวจหาแร่ธาตุ โดยเฉพาะอย่างยิ่งทองคำ และพบบนทวีปแอฟริกา ต่อมาชาวอานุนนากีได้สร้างมนุษย์โฮโมเซเปียนส์ (มนุษย์แบบปัจจุบัน) ขึ้นมา โดยดัดแปลงพันธุกรรมของโฮโมอีเรกตัส (Homo erectus) ซึ่งทางวิทยาศาสตร์เชื่อว่าเป็นบรรพบุรุษของมนุษย์ การสร้างมนุษย์ของอานุนนากีมีจุดประสงค์เพื่อเอามาเป็นทาสทำงานในเหมืองทองคำ ซิตชินเชื่อว่า ผลกระทบจากการใช้อาวุธนิวเคลียร์ในสงครามการต่อสู้ระหว่าง มนุษย์ต่างดาว คือสาเหตุแห่งความพินาศของเมืองอูร์ (Ur) ในบาบิโลเนียเมื่อราว 2,000 ปีก่อนคริสตกาล ตามที่ปรากฏในบทกวีโบราณ ซิตชิน กล่าวว่า เรื่องของตนสอดคล้องกันกับข้อความในไบเบิล และคัมภีร์ไบเบิลเองก็มาจากบันทึกของชาวสุเมเรียน ดาวเคราะห์เอกซ์ ในทางดาราศาสตร์ไม่เกี่ยวข้องโดยตรงกับดาวนิบิรุ และตัวซิตชินเองก็ไม่ได้ระบุว่าดาวนิบิรุของเขาจะกลับมาเมื่อใด แล้วเหตุใดจึงมีความเชื่อว่าดาวนิบิรุกำลังกลับมา ? แนนซี ลีเดอร์ แนวคิดในคำพยากรณ์เรื่องดาวนิบิรุจะเข้ามาใกล้โลกในอีกไม่กี่ปีข้าง หน้านี้ เริ่มมาจากแนนซี ลีเดอร์ สตรีชาวอเมริกันคนหนึ่ง (ซึ่งจิตไม่ค่อยปกติ - ตามความเห็นของคนที่ไม่เชื่อเรื่องของเธอ) ลีเดอร์กล่าวอ้างว่าเมื่อตอนเป็นเด็ก เธอได้พบกับมนุษย์ต่างดาวที่เธอเรียกว่าซีตา (Zeta) มาจากระบบดาวเคราะห์รอบดาวฤกษ์ดวงหนึ่งในกลุ่มดาวตาข่าย และเมื่อเติบโตขึ้น ลีเดอร์อ้างว่ามนุษย์ต่างดาวได้ฝังอุปกรณ์บางอย่างไว้ในสมองของเธอ ทำให้สามารถติดต่อสื่อสารกับพวกซีตาได้ ค.ศ. 1995 สองปีก่อนที่ดาวหางเฮล-บอปป์ (Hale-Bopp) จะเคลื่อนเข้ามาใกล้โลกและดวงอาทิตย์ ลีเดอร์เริ่มเผยแพร่คำบอกเล่าที่อ้างว่าได้ฟังมาจากมนุษย์ต่างดาวลงในเว็บไซต์ เธอบอกว่าดาวหางเฮล-บอปป์ ซึ่งค้นพบในปีนั้น ที่จริงแล้วไม่ใช่ดาวหาง แต่เป็นโนวา ดาวฤกษ์ที่ถูกใช้สำหรับเบี่ยงเบนความสนใจของสาธารณชนไปจากดาวเคราะห์เอกซ์ ซึ่งเธอระบุว่ากำลังเข้ามาใกล้โลก หลังดาวหางเฮล-บอปป์ได้พิสูจน์ตัวเองว่าเป็นดาวหางแท้จริงอย่างไม่ ต้องสงสัย และเป็นดาวหางที่สว่างที่สุดดวงหนึ่งในศตวรรษที่ผ่านมา ลีเดอร์ได้กล่าวอ้างต่อไปอีกว่าดาวเคราะห์เอกซ์ ซึ่งมีขนาดประมาณ 4 เท่าของโลก จะเข้ามาใกล้โลกในเดือนพ.ค. ค.ศ. 2003 ส่งผลให้โลกพลิกกลับขั้วและเกิดภัยพิบัติร้ายแรง นอกจากนั้นเธอได้เริ่มเชื่อมโยงดาวเคราะห์เอกซ์ของตนเข้ากับทฤษฎีดาวนิบิรุ ของเซคาราย ซิตชิน การที่ลีเดอร์บอกว่าดาวเคราะห์เอกซ์ของเธอกับดาวนิบิรุของซิตชิน เป็นดวงเดียวกัน และกำลังเข้ามาใกล้ นั่นย่อมขัดแย้งกับทฤษฎีของซิตชิน ซิตชินระบุว่าดาวนิบิรุมีคาบ 3,600 ปี หนังสือปี 2007 ของเขาเขียนไว้ว่าดาวนิบิรุเข้ามาใกล้ดวงอาทิตย์ครั้งล่าสุดเมื่อราว 600 ปีก่อนคริสตกาล ดังนั้นต้องใช้เวลาอีกเกือบพันปีกว่าที่มันจะกลับมา (ถ้าดาวนิบิรุมีอยู่จริง ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ากังขาพอๆ กับคำบอกเล่าของลีเดอร์) วัตถุลึกลับ? ข่าวชิ้นหนึ่งในหนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์เมื่อวันที่ 30 ธ.ค. 1983 ได้ถูกลีเดอร์นำมาใช้เป็นหลักฐานสำคัญที่พยายามทำให้คนเชื่อว่าวัตถุที่นัก ดาราศาสตร์ค้นพบคือดาวเคราะห์เอกซ์หรือดาวนิบิรุ ข่าวนั้นระบุว่าดาวเทียมไอราส (Infrared Astronomical Satellite : IRAS) ซึ่งสำรวจท้องฟ้าในย่านอินฟราเรด ได้จับภาพวัตถุท้องฟ้าในกลุ่มดาวนายพราน และยังไม่ทราบแน่ชัดถึงธรรมชาติที่แท้จริงของมัน ผู้สื่อข่าวรายงานว่านักดาราศาสตร์ไม่ทราบว่าวัตถุปริศนานี้คือ อะไร หากมันอยู่ในระบบสุริยะ มันก็อาจเป็นได้ทั้งดาวเคราะห์หรือดาวหางขนาดใหญ่ หากอยู่ไกลก็อาจเป็นดาวฤกษ์ที่กำลังเริ่มก่อตัวหรือกลุ่มแก๊สที่กำลังก่อตัว เป็นดาราจักร อย่างไรก็ตาม ในบทสัมภาษณ์ของรายงานข่าวชิ้นเดียวกันนี้ นักดาราศาสตร์ได้ให้ข้อมูลเท่าที่รู้ในขณะนั้นว่าวัตถุดังกล่าวมีอุณหภูมิ ไม่เกิน 40 เคลวิน ซึ่งนับว่าต่ำมาก ไม่มีการเคลื่อนไหวเปลี่ยนตำแหน่ง จึงไม่น่าจะเป็นดาวหาง และถ้าใช่จะมีขนาดใหญ่เกินไป นักดาราศาสตร์ในทีมไอราสยังได้กล่าวไว้ด้วยว่าวัตถุนี้ไม่ได้กำลังเคลื่อน เข้ามาหาโลก และเชื่อว่าน่าจะเป็นดาราจักรที่อยู่ไกล งานวิจัยทางดาราศาสตร์ ซึ่งเผยแพร่ในปี 1985 ได้ระบุว่า วัตถุปริศนาที่พบเมื่อปี 1983 ด้วยดาวเทียมไอราส แท้จริงมันก็คือดาราจักรที่อยู่ไกลมาก อีกส่วนหนึ่งเป็นโครงสร้างเส้นใยของฝุ่นและแก๊สระหว่างดาราจักร ไม่ใช่วัตถุในระบบสุริยะหรือในดาราจักรทางช้างเผือกด้วยซ้ำไป ถึงอย่างนั้น ลีเดอร์ก็คงไม่ได้สนใจติดตามว่าข้อเท็จจริงทางดาราศาสตร์ของวัตถุนั้นคือ อะไร เพราะข่าวลือและคำกล่าวอ้างของเธอว่ามันคือดาวเคราะห์เอกซ์หรือนิบิรุได้จุด ติด ทำให้คนส่วนหนึ่งหลงเชื่อไปแล้ว เมื่อปี 2003 ผ่านพ้นไปโดยไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นอย่างที่ลีเดอร์ได้กล่าวไว้ เธอก็อ้างต่อไปอีกว่าดาวเคราะห์เอกซ์หรือนิบิรุจะกลับมาในปี 2010 กระแสความโด่งดังของวันสิ้นสุดปฏิทินมายาในเดือนธ.ค. 2012 ซึ่งได้รับความสนใจมาก ได้ทำให้มีนักเขียนอีกหลายคนเขียนหนังสือออกมาวางขาย ซึ่งล้วนแต่เกี่ยวข้องกับการพยากรณ์วันสิ้นโลก 2012 ด้วยกันทั้งนั้น ดาวหางเฮล-บอปป์ วัตถุที่เคยถูกอ้างว่าไม่ใช่ดาวหาง แต่เป็นตัวเบี่ยงเบนความสนใจไปจากดาวเคราะห์เอกซ์ที่กำลังเข้ามาใกล้โลก (ภาพ : E. Kolmhofer, H. Raab) จากกรณีที่มีผู้ปล่อยข่าวว่าวันที่ 21 ธ.ค. ปี ค.ศ. 2012 ซึ่งเป็นวันสิ้นสุดรอบปฏิทินมายาจะเป็นวันสิ้นโลกโดย ชักแม่น้ำทั้งห้า อ้างเหตุผลต่างๆ หลายอย่างมาสนับสนุน ได้อธิบายความเป็นมาและข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์ไปบางส่วนแล้ว คราวนี้มาถึงเรื่องของข่าวลือที่ว่าจะเกิดการพลิกขั้วแม่เหล็กโลกและดวง อาทิตย์ในปี 2012 เรื่องจากฟอร์เวิร์ดเมล ฟอร์เวิร์ดเมลและข้อความเผยแพร่ตามเว็บบอร์ดต่างๆ ระบุว่าปี 2012 โลกและดวงอาทิตย์จะเกิดการพลิกขั้ว โดยอ้างอิงข่าวจากสื่อออนไลน์ India Daily (http://www.indiadaily.com) เผยแพร่วันที่ 1 มี.ค. 2005 ระบุว่ากลุ่มนักวิทยาศาสตร์ ทั้งนักธรณีฟิสิกส์และดาราศาสตร์ฟิสิกส์ คาดว่าปี 2012 จะเกิดการพลิกขั้วแม่เหล็กโลก พื้นโลกบางแห่งจะไม่มีสนามแม่เหล็ก ประจวบกับเป็นช่วงที่ดวงอาทิตย์เกิดการสลับขั้วแม่เหล็กด้วยเช่นกัน ข่าวนี้ระบุว่า องค์การนาซาได้ระงับความตื่นกลัวของสาธารณชนด้วยการให้ข้อมูลว่าการพลิกขั้ว แม่เหล็กโลกจะไม่ทำให้สนามแม่เหล็กสูญสิ้นไปทั้งหมด (แต่ข้อความในฟอร์เวิร์ดเมล กลับทำให้เลวร้าย และเป็นเท็จ ระบุว่าองค์การนาซาเป็นผู้ออกข่าวเองว่าขั้วแม่เหล็กโลกจะพลิกในปี 2012 ซึ่งส่วนหนึ่งอาจเกิดจากการแปลความหมายผิด และสับสนกับการสลับขั้วแม่เหล็กของดวงอาทิตย์) สื่อออนไลน์ดังกล่าวอ้างว่าแบบจำลองคอมพิวเตอร์ที่ไฮเดอราบัด บ่งชี้ว่าการพลิกขั้วส่งผลให้ภูมิคุ้มกันของสิ่งมีชีวิตลดลง เกิดภูเขาไฟ แผ่นดินไหว แผ่นดินถล่ม สนามแม่เหล็กโลกอ่อนลงจนทำให้รังสีคอสมิกจากดวงอาทิตย์ทวีขึ้นหลายเท่า เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดมะเร็ง สิ่งมีชีวิตที่อยู่ใต้เปลือกโลกเท่านั้นที่จะรอดจากมหันตภัยนี้ ดาวเคราะห์น้อยจะถูกดึงให้เข้ามาใกล้ โลก แถมยังอ้างอีกว่าการพบเห็นยูเอฟโอบ่อยขึ้นในช่วง 100 ปีที่ผ่านมา ได้แสดงว่ามนุษย์ต่างดาวกำลังพยายามช่วยโลก เนื้อข่าวต้นฉบับไม่มีการอ้างชื่อนักวิทยาศาสตร์หรือข้อมูลเชิง วิชาการใดๆ ที่พอจะเชื่อถือหรือสืบค้นได้ และเมื่อค้นดูข่าวในหมวดเดียวกันก็จะพบว่ามีข่าวหลายเรื่องที่เกี่ยวข้องกับ ปี 2012 ซึ่งล้วนมีลักษณะเดียวกัน คือไม่เคยระบุชื่อของนักวิทยาศาสตร์ หาแหล่งข่าวไม่ได้ ดูคล้ายหนังสือพิมพ์แทบลอยด์ที่มักจะเขียนข่าวหวือหวาเพื่อเรียกความสนใจ เรื่องจริงเรื่องขั้วพลิก ตามหลักฐานทางธรณีวิทยาและการศึกษาธรรมชาติของดวงอาทิตย์ การสลับขั้วแม่เหล็กเกิดขึ้นจริงทั้งในโลกและดวงอาทิตย์ ดวงอาทิตย์สลับขั้วบ่อยกว่าโลกมาก เฉลี่ยทุกๆ 11 ปี ซึ่งเกี่ยวข้องกับปริมาณจุดมืด (Sunspot) และกัมมันตภาพของดวงอาทิตย์ (Solar Activity) การพยากรณ์การพลิกขั้วแม่เหล็กดวงอาทิตย์ทำได้โดยอาศัยข้อมูลการสังเกตจุด มืดและสภาพทางแม่เหล็กบนผิวดวงอาทิตย์ เมื่อเกิดการสลับขั้ว ดวงอาทิตย์จะมีกัมมันตภาพสูง มีจุดมืดจำนวนมาก และมักเกิดพายุสุริยะบ่อยกว่าช่วงสงบ ก่อนหน้านี้เคยมีการพยากรณ์ว่าดวงอาทิตย์จะสลับขั้วแม่เหล็กในปี 2012 ซึ่งทำให้เกิดการเชื่อมโยงกับคำพยากรณ์วันสิ้นโลก อย่างไรก็ตามจากที่ในช่วงปีที่ผ่านมาจนถึงขณะนี้ ดวงอาทิตย์แทบไม่มีจุดมืดมานาน นักดาราศาสตร์พยากรณ์เมื่อเร็วๆ นี้ว่าดวงอาทิตย์มีแนวโน้มจะสลับขั้วช้าลงกว่าที่คาดไว้ โดยอาจเกิดขึ้นในเดือนพ.ค. 2013 กรณีของโลก ใจกลางโลกมีแกนชั้นในเป็นเหล็กแข็ง หมุนรอบตัวเอง และมีอุณหภูมิสูงมาก ห่อหุ้มด้วยแกนชั้นนอกที่เป็นเหล็กหลอมเหลว การเคลื่อนที่ของเหล็ก หลอมเหลวในแกนชั้นนอก ทำให้อนุภาคที่มีประจุไฟฟ้าไหลวนไปรอบๆ เกิดสนามแม่เหล็ก พุ่งผ่านแกนเปลือกโลก และออกสู่อวกาศ สนามแม่เหล็กมีส่วนช่วยป้องกันลมสุริยะจากดวงอาทิตย์ แต่บางส่วนก็สามารถเบี่ยงเบนเข้าสู่บริเวณขั้ว ชนกับอะตอมในบรรยากาศโลก เกิดวงแสงเรืองบนท้องฟ้าที่เรียกว่าแสงเหนือใต้ (Aurora) ขั้วแม่เหล็กโลกอยู่ไม่คงที่ คริสต์ศตวรรษที่ 20 ตำแหน่งขั้วแม่เหล็กเหนือซึ่งปัจจุบันอยู่บริเวณประเทศแคนาดา เคลื่อนที่ด้วยอัตรา 10 กม./ปี แต่นักวิทยาศาสตร์พบว่าเมื่อเร็วๆ นี้ ขั้วแม่เหล็กเหนือเคลื่อนเร็วขึ้นด้วยอัตรา 40 กม./ปี มีแนวโน้มว่าจะไปอยู่ที่ไซบีเรียภายในอีกไม่กี่สิบปี ข้อมูลทางธรณีวิทยาบอกว่าโลกสลับขั้วแม่เหล็กกลับไปกลับมาเฉลี่ย ทุกๆ 2.5 แสนปี ไม่ทราบแน่ชัดถึงสาเหตุว่าทำไมจึงเกิดการสลับขั้ว และไม่มีการสลับขั้วมานานแล้วราว 7.8 แสนปี อัตราการสลับขั้วของสนามแม่เหล็กโลกมีความไม่แน่นอนสูงมาก และใช้เวลาในกระบวนการสลับขั้วแต่ละครั้งนานนับพันปี เป็นไปไม่ได้เลยที่ใครจะสามารถพยากรณ์ได้ว่าโลกจะพลิกขั้วแม่เหล็กในปีใด ดังนั้นการอ้างว่าจะเกิดการพลิกขั้วในวันที่ 21 ธ.ค. 2012 จึงไร้เหตุผลทางวิทยาศาสตร์มารองรับ และที่ว่าการสลับขั้วแม่เหล็กโลกเกี่ยวข้องกับดวงอาทิตย์ ก็ไม่มีหลักฐานสนับสนุน ส่วนที่ว่าเมื่อเกิดการสลับขั้วแล้ว โลกจะไม่มีสนามแม่เหล็ก แบบจำลองด้วยซูเปอร์คอมพิวเตอร์ โดยแกลตซ์มายเยอร์ และพอล โรเบิร์ต นักวิทยาศาสตร์มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ณ ซานตาครูซ พบว่าระหว่างที่มีการสลับขั้วแม่เหล็ก โลกจะยังมีสนามแม่เหล็กห่อหุ้มอยู่ เพียงแต่อ่อนลงและมีความปั่นป่วนมากขึ้น นอกจากนี้สนามแม่เหล็กโลกไม่ใช่สิ่งเดียวที่ช่วยปกป้องโลกจากรังสีและอนุภาค พลังงานสูงจากนอกโลก บรรยากาศโลกมีส่วนอย่างมากในการ ป้องกันโลกจากพายุสุริยะและรังสีคอสมิก ดังนั้นสรุปว่าไม่มีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ใดๆ สนับสนุนว่าปี 2012 โลกจะพลิกขั้ว ไม่ว่าจะเป็นขั้วแม่เหล็กหรือขั้วทางภูมิศาสตร์ รวมทั้งของดวงอาทิตย์ สรุป ปฏิทินมายาทำนายว่า ปี ค.ศ. 2012 เป็นวาระสุดท้ายของโลกจริงหรือ ? ปฏิทินมายามีหลายแบบ แบบหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับปี ค.ศ. 2012 คือแบบที่เรียกกันว่า ปฏิทินรอบยาว (long count) ระบุวันด้วยชุดของตัวเลข ตัวเลขชุดนี้แทนวันที่ได้ยาวนาน 5,126 ปี เทียบกับวันที่ตามระบบปฏิทินสากลตั้งแต่ วันที่ 11 สิงหาคม 3114 ปีก่อนคริสต์กาลไปจนสุดจำนวนเมื่อวันที่ 21 ธันวาคม ค.ศ. 2012 การสิ้นสุดของตัวเลขปฏิทินมายา หรือการครบจำนวนสูงสุดที่กำหนดไว้ในระบบนับวันระบบใดระบบหนึ่ง จะแสดงถึงการสิ้นสุดของโลกเชียวหรือ คอมพิวเตอร์ สมัยก่อนก็มีระบบปฏิทินในตัวเครื่องที่แสดงวันเดือนปีได้จนถึงสิ้น ค.ศ. 2000 อันเป็นที่รู้จัก กันในนามของปัญหา Y2K แต่เมื่อสิ้นสุด ค.ศ. 2000 โลกก็ไม่ได้แตกตามระบบนับวันของคอมพิวเตอร์ ทำนองเดียวกัน โลกก็จะไม่แตกสลายเพราะว่าสุดตัวเลขปฏิทินมายา หลังวันที่ 21 ธันวาคม ค.ศ. 2012 ปฏิทินมายาก็จะเริ่มนับรอบใหม่ Planet X คืออะไร ? เมื่อครั้งที่นักดาราศาสตร์รู้จักดาว เคราะห์แปดดวง ยังไม่พบดาวพลูโต นักดาราศาสตร์พบว่าการโคจรของดาวเนปจูนมีความผิดปรกติเหมือนมีแรงรบกวนจาก วัตถุขนาดใหญ่อีกดวงหนึ่งคอยดึงดูดรบกวนอยู่ วัตถุนี้อาจเป็นดาวเคราะห์ขนาดใหญ่อีกดวงที่ยังมองไม่เห็น จึงมีความพยายามค้นหาดาวเคราะห์ลึกลับนี้โดยตั้งชื่อไว้ล่วงหน้าว่า ดาวเคราะห์เอกซ์ (Planet X) แม้เวลาต่อมาจะมีการค้นพบดาวพลูโต ปัญหานี้ก็ยังไม่ คลี่คลาย เนื่องจากดาวพลูโตเล็กและเบาเกินกว่าจะมีผลต่อการโคจรของดาวเนปจูน การค้นหาจึงดำเนินต่อไป ต่อมา หลังจากที่มียานอวกาศไปสำรวจดาวยูเรนัสกับเนปจูนในระยะใกล้ จึงพบว่าความผิดปกติของวงโคจรดังที่เคยสำรวจจากโลกนั้นเป็นเพียงความผิดพลาด จากการวัด ไม่ใช่ความผิดปรกติของวงโคจรแต่อย่างใด อย่างไรก็ตามการค้นหาวัตถุใหม่นอกวงโคจรดาวเนปจูนก็ยังมีอยู่ต่อไป และนักดาราศาสตร์ก็ได้ค้นพบวัตถุอีกหลายดวง แต่ทุกดวงล้วนเป็นวัตถุเล็กคล้ายดาวพลูโตมากกว่า มีการค้นพบดาวเคราะห์เอกซ์แล้วหรือยัง ? นักดาราศาสตร์ได้ พบค้นพบวัตถุดวงใหม่ที่อยู่นอกวงโคจรของดาวเนปจูนมาแล้วหลายดวง หลายครั้งที่มีการค้นพบวัตถุใหม่พ้นวงโคจรของดาวเนปจูนที่มีขนาดใหญ่ ก็มักเรียกกันให้ครึกโครมว่าเป็นดาวเคราะห์เอกซ์ แต่หลังจากการวิเคราะห์สมบัติด้านต่าง ๆ แล้วก็พบว่าไม่มีดวงใดที่มีสมบัติเข้าข่ายดาวเคราะห์ จึงถือได้ว่าปัจจุบันยังไม่พบดาวเคราะห์เอกซ์ Planet X มีจริงหรือไม่ ? แม้ปัจจุบันจะยังไม่การพบดาว เคราะห์เอกซ์ แต่นักดาราศาสตร์หลายคนก็เชื่อว่าน่าจะมี หลักฐานหนึ่งที่ทำให้เชื่อเช่นนั้นไม่ใช่เรื่องวงโคจรดาวเนปจูนที่ผิดปกติ (ซึ่งความจริงแล้วปกติ) แต่มาจากการกระจายตัวของวัตถุขนาดเล็กคล้ายดาวเคราะห์น้อยที่กระจายอยู่นอก วงโคจรของดาวเนปจูนหรือที่เรียกกันว่าวัตถุพ้นดาวเนปจูน นักดาราศาสตร์พบว่าที่ ระยะประมาณ 50 หน่วยดาราศาสตร์ จำนวนของวัตถุเหล่านี้ได้ลดลงอย่างกระทันหัน จึงสันนิษฐานว่าน่าจะเกิดจากอิทธิพลของวัตถุขนาดใหญ่โคจรอยู่นอกระยะนั้นออก ไป เป็นไปได้ว่าวัตถุดวงนี้อาจมีขนาดใหญ่พอที่จะจัดว่าเป็นดาวเคราะห์ได้ นักดาราศาสตร์ได้คำนวณไว้ว่าดาวเคราะห์เอกซ์ดวงนี้น่าจะมีขนาดพอ ๆ กับโลกของเรา Planet X เป็นดาวเคราะห์ล้างโลกจริงหรือ ? ดาวเคราะห์แต่ละดวงมีวงโคจรของตัวเอง มีรัศมีวงโคจรต่างกัน วงโคจรมีเสถียรภาพดี ไม่ใช่สิ่งที่จะมาชนกันได้ง่าย ๆ ตามความรู้และข้อมูลที่นักวิทยาศาสตร์มีอยู่ เชื่อว่าหากมีการค้นพบดาวเคราะห์ดวงใหม่ในระบบสุริยะจริง (ซึ่งจะได้ชื่อว่าเป็นดาวเคราะห์เอกซ์) ดาวเคราะห์ดวงนี้ก็น่าจะอยู่พ้นวงโคจรของดาวเนปจูนออกไปอีก แล้วดาวเคราะห์ที่มีวงโคจรใหญ่โตอยู่ไกลปืนเที่ยงขนาดนั้นจะมาชนโลกได้อย่างไร จงจำไว้ว่าดาวเคราะห์เอกซ์คือสิ่งที่นักดาราศาสตร์ถวิลหา และการค้นพบจะเป็นข่าวน่ายินดี หากวันหนึ่งคุณเห็นข่าวพาดหัวว่าค้นพบดาวเคราะห์เอกซ์แล้ว ก็อย่าไปแตกตื่นให้อายใครเขา ดาวนิบิรุ มีจริงหรือไม่ ? นิบิรุ เป็นชื่อเทพองค์หนึ่งของบาบิโลน ส่วน ดาวนิบิรุ เป็นดาวตามทฤษฎีของ เซชาเรีย ซิตชิน ซึ่งอ้างว่าถอดความมาจากจารึกของชาวสุเมเรียน ทฤษฎีนี้กล่าวว่าดาวนิบิรุเป็นดาวที่มีสิ่งมีชีวิตที่มีอารยธรรมอาศัยอยู่ และเคยมาเยือนโลกเมื่อนานมาแล้ว แม้เรื่องดาวนิบิรุจะได้รับ ความนิยมในหมู่ผู้ชื่นชอบเรื่องลึกลับ เรื่องจานบิน เรื่องมนุษย์ต่างดาว แต่เนื่องจากทฤษฎีนี้มีหลักฐานอ่อนมาก และตั้งอยู่บนจินตนาการมากกว่าเหตุผล เรื่องนี้จึงไม่ได้รับการยอมรับในวงกว้างในวงการวิทยาศาสตร์รวมถึงนัก วิชาการด้านสุเมเรียนด้วย ดาวนิบิรุ กับ Planet X เป็นดวงเดียวกันหรือไม่ ? บทความ หรือทฤษฎีที่เกี่ยวกับโลกแตกปี 2012 มักกล่าวว่า นิบิรุ และ ดาวเคราะห์เอกซ์ (Planet X) เป็นวัตถุดวงเดียวกัน แต่ความจริงต่างกันโดยสิ้นเชิง ดาวเคราะห์เอกซ์เป็นดาวเคราะห์ที่ยังหาไม่พบ แต่เชื่อว่ามีจริง และมีการค้นหาอยู่ ส่วนดาวนิบิรุ เป็นดาวในตำนานที่ยังขาดหลักฐานที่ดีพอที่จะบอกได้ว่ามีอยู่จริง พายุสุริยะคืออะไร ? พายุสุริยะคือกระแสของอนุภาคพลังงาน สูงที่พัดมาจากดวงอาทิตย์ด้วยปริมาณและความเร็วสูงกว่าระดับปกติ อนุภาคนี้มีทั้งอิเล็กตรอนและโปรตอน เป็นตัวการทำให้เกิดแสงเหนือใต้ และพายุแม่เหล็ก ซึ่งส่งผลต่อดาวเทียม ยานอวกาศ และระบบสายส่งบนโลก ภาพจาก www.astroschool.in.th พายุสุริยะมีผลกระทบต่อโลกอย่างไร ? ปกติพายุสุริยะจะไม่ส่งผลโดยตรงต่อโลกและสิ่งมีชีวิตบนโลก เนื่องจากโลกมีบรรยากาศและสนามแม่เหล็กคุ้มกัน มีเพียงนักบินอวกาศที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่ในอวกาศเท่านั้นที่อาจได้รับ อันตราย ทั้งจากพายุสุริยะและรังสีจากดวงอาทิตย์ ในอดีต พายุสุริยะเคยสำแดงฤทธิ์เดชให้เห็นแล้วหลายครั้ง เช่น ใน ค.ศ. 1859 พายุสุริยะทำให้สายโทรเลขลัดวงจรจนทำให้เกิดเพลิงไหม้หลายแห่งในยุโรปและ อเมริกา ส่วนใน พ.ศ. 2532 พายุสุริยะก็เคยทำให้หม้อแปลงของไฟฟ้าระเบิดจนทำให้ไฟดับทั่วทั้งจังหวัด ควิเบกของแคนาดามาแล้ว นอกจากนี้ดาวเทียมและยานอวกาศที่อยู่ในอวกาศก็อาจเสียหายจากพายุสุริยะได้ ในอดีตเคยมีดาวเทียมหลายดวงเสียหายจากเหตุการณ์นี้มาแล้ว เนื่องจากปัจจุบันชีวิตประจำวันของผู้คนต้องพึ่งพาเทคโนโลยีอวกาศมาก ทั้งโทรศัพท์ โทรทัศน์ การกระจายเสียงวิทยุ ระบบบอกพิกัด ฯลฯ ดังนั้นหากมีพายุสุริยะมาทำให้ดาวเทียมเหล่านี้เสียหายไป ก็ย่อมส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวันของผู้คนอย่างแน่นอน ในปี ค.ศ. 2012 จะเกิดพายุสุริยะโจมตีโลกจริงหรือ ? จริง พายุสุริยะเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นเกือบตลอดเวลา และส่งผลกระทบถึงโลก และมีระดับความรุนแรงผันแปรเป็นคาบ คาบละประมาณ 11 ปี คาบที่ชัดเจนนี้ทำให้นักดาราศาสตร์พยากรณ์ได้ว่าช่วงสูงสุดหรือต่ำสุดของ วัฏจักรสุริยะจะเกิดขึ้นเมื่อใด ช่วงสูงสุดของวัฏจักรที่จะเกิดในครั้งถัดไปคาดว่าจะอยู่ในช่วงกลาง ค.ศ. 2013 ช่วงสูงสุดของวัฏจักรสุริยะกินเวลายาวนานข้ามปี ดังนั้นแม้ช่วงสูงสุดจะอยู่ใน ค.ศ. 2013 แต่พายุสุริยะก็เริ่มจะ กระหน่ำโลกตั้งแต่ก่อน ค.ศ. 2012 แล้ว แม้ ช่วงปี 2013 จะอยู่ในช่วงสูงสุดของวัฏจักรสุริยะ แต่พายุสุริยะที่จะเกิดขึ้น ก็ไม่ได้รุนแรงมากไปกว่าที่เคยเกิดขึ้นในรอบก่อน ซึ่งเกิดในราวปี ค.ศ. 2000, 1989, และก่อนหน้านั้น ความจริงมีแนวโน้มว่าช่วงสูงสุดของวัฏจักรที่จะมาถึงในปี 2013 จะอ่อนกำลังกว่าวัฏจักรก่อนหน้านี้เสียด้วยซ้ำ สนามแม่เหล็กโลกสลับขั้วได้จริงหรือ ? มนุษย์ยุคปัจจุบัน ยังไม่เคยมีใครเห็นโลกสลับขั้วแม่เหล็ก แต่หลักฐานทางธรณีวิทยาบ่งชี้ว่าการสลับขั้วแม่เหล็กเคยเกิดขึ้นมาแล้วหลาย ครั้งตลอดประวัติศาสตร์ของโลก ภาพจาก www.sunflowercosmos.org สนามแม่เหล็กโลกกำลังอ่อนกำลังลงจริงหรือ ? จริง นักวิทยาศาสตร์พบว่า นับจากคริสต์ศตวรรษที่ 19 เป็นต้นมา ความเข้มสนามแม่เหล็กโลกได้อ่อนกำลังลงไปประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์ แต่อย่าเพิ่งตกใจไป เพราะความเข้มสนามแม่เหล็กโลกผันแปรตลอดเวลาเป็นเรื่องปกติ ความจริงสนามแม่เหล็กโลกในขณะนี้ยังเข้มกว่าความเข้มเฉลี่ยของสนามแม่เหล็ก โลกในช่วงหนึ่งล้านปีที่ผ่านมาถึงสองเท่า ปี 2012 จะเกิดปรากฏการณ์ pole shift จริงหรือ ? จริง pole shift คือเหตการณ์ที่ขั้วแม่เหล็กโลกเคลื่อนที่ แต่เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ และไม่ใช่กำลังจะเกิดใน ค.ศ. 2012 หากแต่เกิดขึ้นตลอดเวลา เกิดมานานแล้ว แม้แต่ตอนนี้ก็เกิด นักวิทยาศาสตร์ทราบว่าขั้วแม่เหล็กโลกมีการเคลื่อนที่ตั้งแต่ที่ค้นพบขั้ว เหนือแม่เหล็กโลกเมื่อกว่าศตวรรษก่อนแล้ว การเคลื่อนที่นี้เกิดขึ้นอย่างช้า ๆ ด้วยอัตราเฉลี่ยประมาณ 1 องศาต่อ 1 ล้านปีหรืออาจเร็วกว่านั้น การสำรวจในช่วงไม่กี่ปีมานี้พบว่า ขั้วเหนือแม่เหล็กโลกเคลื่อนที่เร็วขึ้น แต่ความเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ใช่ตัวบ่งชี้ว่าโลกใกล้จะสลับขั้วหรือกำลังวิปริต เพราะอัตราการ เคลื่อนที่มีขึ้นมีลงอยู่เสมอ โลกสลับขั้วแม่เหล็กครั้งล่าสุดเมื่อใด และจะเกิดครั้งต่อไปเมื่อใด ? ครั้งล่าสุดที่โลกสลับขั้วแม่เหล็กเกิดขึ้นเมื่อราว 780,000 ก่อน การพยากรณ์ว่าจะเกิดขึ้นอีกครั้งเมื่อไหร่ หมายความนักวิทยาศาสตร์จะต้องเข้าใจกลไกการสลับขั้วแม่เหล็กดีพอสมควร หรือการสลับขั้วแม่เหล็กโลกในอดีตมีรูปแบบการเปลี่ยนแปลงที่คาดการณ์ได้ เช่นมีคาบแน่นอน หรือเกิดขึ้นในเวลาที่สอดคล้องกับเหตุการณ์อื่น แต่ปัจจุบันยังขาดทั้งสองอย่าง นักวิทยาศาสตร์ยังไม่ทราบแน่ชัดว่าสนามแม่เหล็กโลกเกิดจากอะไร ไม่ทราบว่าสลับขั้วได้อย่างไร นอกจากนี้บันทึกการสลับขั้วในอดีตก็ไม่มีรูปแบบเด่นชัดพอจะคาดการณ์ได้ ไม่มีคาบที่แน่นอน บางช่วงสนามแม่เหล็กโลกอาจคงทิศอยู่นานถึงหลายสิบล้านปี บางครั้งอาจคงทิศได้เพียงไม่กี่ร้อยปี ความผันแปรอย่างมหาศาลนี้ทำให้แทบระบุไม่ได้เลยว่า โลกจะถึงกาลสลับขั้วแม่เหล็กอีกครั้งเมื่อใด ในปี ค.ศ. 2012 โลกจะสลับขั้วสนามแม่เหล็กจริงหรือ ? แม้นักวิทยาศาสตร์จะเชื่อว่าโลกจะสลับขั้วแม่เหล็กอีกอย่างแน่นอน แต่ก็ยังไม่อาจคาดการณ์ได้ว่าจะเกิดขึ้นเมื่อใด อย่าว่าแต่จะให้ระบุปีที่เกิด แม้แต่จะให้ระบุว่าจะเกิดขึ้นในศตวรรษใดก็ยังยาก เนื่องจากจังหวะการเกิดปรากฏการณ์นี้ในอดีตผันแปรมาก นักโลกแตก นิยมมักโยงเรื่องวัฏจักรของดวงอาทิตย์ซึ่งจะถึงช่วงสูงสุดในราวปี 2012 เข้ากับการสลับขั้วแม่เหล็กโลก นั่นเป็นการโยงเหตุการณ์ที่ไร้เหตุผลอย่างมาก ไม่มีหลักฐานใดที่แสดงว่าการสลับขั้วแม่เหล็กโลกมีความสัมพันธ์กับวัฏจักร ของดวงอาทิตย์ หากเกิดการสลับขั้วแม่เหล็กโลกจริง จะทำให้เกิดหายนะถึงขั้นผู้คนล้มตายเป็นจำนวนมากหรือไม่ ? เนื่องจากสนามแม่เหล็กโลกมีบทบาทสำคัญในการเป็นเกราะคุ้มกันรังสีอันตรายจากห้วง อวกาศ ดังนั้นจึงเชื่อได้ว่า หากเกิดความผิดปกติของสนามแม่เหล็กโลก เช่นสนามแม่เหล็กหายไปซึ่งอาจเกิดขึ้นในช่วงที่มีการสลับขั้วแม่เหล็ก ก็ย่อมส่งผลต่อสรรพชีวิตบนพื้นโลกอย่างแน่นอน ผลกระทบที่ว่านี้จะรุนแรงถึงขั้นบาดเจ็บล้มตายหรือเกิดการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่หรือไม่ ? ไม่น่าจะเป็นเช่นนั้น จากการเทียบบันทึกการสลับขั้วแม่เหล็กโลกในอดีตซึ่งเกิดมาแล้วหลายครั้ง เราไม่พบว่ามีความสอดคล้องกับเวลาที่เกิดการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ที่เคยเกิด ขึ้นบนโลก นี่น่าจะพอเบาใจได้ในระดับหนึ่งว่า หากโลกสลับขั้วแม่เหล็กในช่วงนี้ ก็คงไม่ถึงขั้นคอขาดบาดตาย งานวิจัยด้านสนามแม่เหล็กโลกเมื่อไม่นานมานี้เผยว่าสนามแม่เหล็กโลกซับซ้อนกว่า ที่คิด โลกมิใช่มีเพียงแม่เหล็กแท่งใหญ่แท่งเดียว แต่ยังมีแม่เหล็กขนาดย่อมกระจายอยู่หลายส่วนทั่วโลก ช่วงที่มีการสลับขั้วแม่เหล็ก แม่เหล็กตัวใหญ่จะอ่อนกำลังลงไปมากจนเผยให้เห็นอิทธิผลของแม่เหล็กตัวย่อย ในช่วงเวลาดังกล่าวโลกจะมีขั้วแม่เหล็กเหนือใต้หลายแห่งบนโลก สนามแม่เหล็กโลกจะซับซ้อนยุ่งเหยิงมาก แน่นอนว่าช่วงนี้เราอาจใช้เข็มทิศไม่ได้ สัตว์บางชนิดที่ต้องพึ่งพาสนามแม่เหล็กโลกก็อาจประสบความยากลำบาก แต่ด้านดีก็คือ สนามแม่เหล็กยังคงมีกำลังมากพอที่จะคุ้มครองสิ่งมีชีวิตได้ ปัจจุบันแกนหมุนของโลกเอียงมากขึ้นเป็น 24 องศาจริงหรือ ? ไม่จริง ปัจจุบันแกนโลกยังคงเอียง 23.44 องศา อย่าง ไรก็ตาม แกนหมุนของโลกมีการเปลี่ยนแปลงเสมอในช่วงแคบ ๆ 22.1-24.5 องศาโดยมีคาบประมาณ 42,000 ปี ดังนั้นถ้าจะมองให้ละเอียด ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามีการเปลี่ยนแปลงจริง แต่เปลี่ยนแปลงช้ามาก และยิ่งกว่านั้น การเปลี่ยนแปลงของมุมเอียงขณะนี้อยู่ในช่วงขาลง นั่นคือ แกนโลกกำลังเอียงน้อยลง ไม่ใช่มากขึ้น จากสารพันคําถามดาราศาสตร์ /วิมุติ วสะหลาย สมาคมดาราศาสตร์ไทย by KOHKA55 http://www.prachataiwebboard.com/webboard/id/2715