วันพฤหัสบดีที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2551

รู้ไหมว่าหมาขี้เรื้อนมันคิดอะไร

...
ลูกชายนักธุรกิจใหญ่มีชื่อเสียงระดับประเทศคนหนึ่งเพิ่งสำเร็จการศึกษากลับมาจากเมืองนอกยังไม่ทันทำงานอะไรเป็นชิ้นเป็นอันก็ถูกผู้เป็นแม่ขอร้องให้บวชเรียนเสียก่อนเพื่อเห็นแก่แม่..

บัณฑิตใหม่หมาดๆจากเมืองนอกจึงบวชอย่างเสียไม่ได้เมื่อบวชที่วัดใหญ่ในกรุงเทพฯแห่งหนึ่งเสร็จแล้วผู้เป็นแม่จึงพาไปฝากให้จำพรรษาอยู่กับพระวิปัสสนาจารย์รูปหนึ่งที่วัดป่าแถวภาคอีสานพระหนุ่มการศึกษาสูงมาจากตระกูลผู้ดีมีแต่ความสุขสบาย

เมื่อมาอยู่วัดป่ากว่าจะปรับตัวได้จึงใช้เวลานานเป็นแรมเดือนแต่ก็นั่นแหละกว่าจะนิ่งก็ทำเอาพระร่วมวัดหลายรูปพลอยอิดหนาระอาใจไปตามๆกันปัญหาที่ทำให้พระทั้งวัดเหนื่อยหน่ายจนนึกระอาก็เพราะพระใหม่มีนิสัยชอบจับผิดและชอบอวดรู้ยกหู ชูหางตัวเองอยู่เป็นประจำ

วันแรกที่มาอยู่วัดป่าก็นึกเหยียดพระเจ้าถิ่นทั้งหลายว่าไม่ได้รับการศึกษาสูงเหมือนอย่างตน ออกบิณฑบาตได้อาหารท้องถิ่นมาก็ทำท่าว่าจะฉันไม่ลงเห็นที่วัดใช้ตะเกียงน้ำมันก๊าดแทนไฟฟ้าก็วิพากษ์วิจารณ์เสียเป็นการใหญ่หาว่าล้าสมัยไม่รู้จักใช้เทคโนโลยี่ตอนหัวค่ำมีการทำวัตรสวดมนต์เย็นก็บ่นว่าท่านรองเจ้าอาวาสทำวัตรนานเหลือเกินกว่าจะสิ้นสุดยุติได้ก็นั่งจนขาเป็นเหน็บชาครั้นพอถึงเวรตัวเองล้างห้องน้ำเข้าบ้างก็ทำท่าจะล้างอย่างขอไปทีล้างไปบ่นไปประเภทตูจบปริญญาโทมาจากเมืองนอกต้องมาเข้าเวรล้างห้องน้ำร่วมกับใครก็ไม่รู้โอ้ชีวิต! ความสำรวยหยิบโหย่งทำให้พระใหม่ไม่พอใจสิ่งนั้นสิ่งนี้ถือดีว่าตัวเองมีชาติตระกูลสูง มีการศึกษาสูงกว่าใครในวัดนั้นผิวพรรณก็ดูสะอาดสะอ้านชวนเจริญศรัทธากว่าพระรูปไหนทั้งหมดมองตัวเองเปรียบกับพระรูปอื่นแล้วช่างรู้สึกว่าตัวเองเหนือกว่าทุกประตูนึกแล้วก็ยิ้มกระหยิ่มอยู่ในใจกลับเข้ากุฏิเมื่อไหร่ก็เอาปากกามาขีดเครื่องหมายกากบาทบนปฏิทินนับถอยหลังรอวันสึกด้วยใจจดจ่ออยู่มาได้พักใหญ่พระใหม่อดีตนักเรียนนอกก็สังเกตเห็นว่าท่านเจ้าอาวาสวัดป่าแห่งนี้ไม่ค่อยพูดไม่ค่อยจาซ้ำนานๆครั้งจะออกมาให้โอวาทกับลูกศิษย์เสียทีหนึ่งวันๆ ไม่เห็นท่านทำอะไรเอาแต่กวาดใบไม้ เก็บขยะ ซักผ้าเอง (เณรน้อยก็มีไม่รู้จักใช้) สอนก็ไม่สอนการบริหารวัดก็มอบให้ท่านรองเจ้าอาวาสเป็นคนจัดการไปเสียทุกอย่าง เห็นแล้ว เลยนึกร้อนวิชาเสนอให้ปรับโน่นลดนี่สารพัดที่ตัวเองเห็นว่าไม่เข้าท่าล้าสมัยรวมทั้งให้เสนอให้วัดใช้ไฟฟ้าแทนตะเกียงด้วยอีกข้อหนึ่งเพราะตนเห็นว่ายุคสมัยก้าวไกลมามากแล้วไม่ควรจะทำตนเป็นคนหลังเขาให้คนอื่นเขาดูถูก

อีกหนึ่งในข้อวิจารณ์จุดด้อยของวัดทั้งหลายเหล่านั้นพระใหม่เสนอให้หลวงพ่อเจ้าอาวาสมีปฏิสัมพันธ์กับพระลูกวัดให้มากขึ้นกว่านี้ สอนให้มากขึ้นเทศน์ให้มากขึ้นและแนะนำว่าคนระดับผู้บริหารไม่ควรจะทำงานอย่างการซักจีวรเองเป็นต้นด้วยตนเอง ควรจะกระจายอำนาจมอบงานให้คนอื่นทำดีกว่า

เย็นวันนั้นเป็นวันพระสิบห้าค่ำหลวงพ่อเจ้าอาวาสมานั่งทำวัตรที่โบสถ์ธรรมชาติกลางลานทรายด้วยท่านไม่ลืมที่จะหยิบข้อเสนอแนะจากพระใหม่มาอ่านให้พระหนุ่มสามเณรน้อยทั้งหลายฟัง แต่ท่านไม่บอกว่าพระรูปไหนเป็นคนเขียน

อ่านจบแล้วหลวงพ่อก็ยิ้มอย่างมีเมตตาพลางหยิบไมโครโฟนขึ้นมาแล้วชี้ให้ภิกษุหนุ่มสามเณรน้อยทั้งหลายดูหมาขี้เรื้อนตัวหนึ่งที่นอนอยู่ใต้ม้าหินอ่อนตัวหนึ่งจากใต้ต้นอโศกที่อยู่ใกล้ๆ

เธอทั้งหลายเห็นหมาขี้เรือนตัวนั้นหรือไม่เจ้าหมาตัวนั้นน่ะมันเป็นขี้เรื้อน คันไปทั้งตัว ฉันเห็นมันวิ่งวุ่นไปมาทั้งวัน เดี๋ยวก็วิ่งไปนอนตรงนั้นเดี๋ยวก็ย้ายมานอนตรงนี้อยู่ที่ไหนก็อยู่ไม่ได้นานเพราะมันคัน

แต่พวกเธอรู้ไหม เจ้าหมาตัวนั้นน่ะมันไปนอนที่ไหนมันก็นึกด่าสถานที่นั้นอยู่ในใจ หาว่าแต่ละที่ไม่ได้ดั่งใจตัวเองสักอย่าง นอนที่ไหนก็ไม่หายคัน สถานที่เหล่านั้นช่างสกปรกสิ้นดี คิดอย่างนี้แล้วมันจึงวิ่งหาที่ที่ตัวเองนอนแล้วจะไม่คันแต่หาเท่าไหร่มันก็หาไม่พบสักที เลยต้องวิ่งไปทางนี้ทางโน้นอยู่ทั้งวันเจ้าหมาโง่ตัวนั้น

มันหารู้สักนิดไม่ว่าจ้าสาเหตุแห่งอาการคันนั้นหาใช่เกิดจากสถานที่เหล่านั้นแต่อย่างใดไม่แต่สาเหตุแห่งอาการคันอยู่ที่โรคของตัวมันเองนั่นต่างหากพูดจบแล้วหลวงพ่อก็วางไมโครโฟนลงเป็นสัญญาณให้รู้ว่า ได้เวลาภาวนาหลังการทำวัตร สวดมนต์เย็นแล้ว

ขณะที่ทุกรูปนั่งหลับตาภาวนาอย่างสงบนั้นในใจของพระใหม่กลับร้อนเร่าผิดปกติ นอกสงบแต่ในวุ่นวายนึกอย่างไรก็มองเห็นตัวเองไม่ต่างไปจากหมาขี้เรื้อนที่หลวงพ่อชี้ให้ดูยิ่งนั่งสมาธินานๆ ยิ่งคันคะเยอในหัวใจ ทั้งอายทั้งสมเพชตัวเองนับแต่วันนั้นเป็นต้นมาพระใหม่อดีตนักเรียนนอกก็เปลี่ยนไปเป็นคนละคนจากคนพูดมากกลายเป็นคนพูดน้อย จากคนที่หยิ่งยโสกลายเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตนจากคนที่ชอบจับผิดคนอื่นกลายเป็นคนที่หันมาจับผิดตัวเอง

เมื่อออกพรรษาแล้วโยมแม่มาขอให้ลาสิกขาเพื่อกลับไปสืบต่อธุรกิจจากครอบครัวท่านก็ยังไม่ยอมสึก

"อาตมาเป็นหมาขี้เรื้อนขออยู่รักษาโรคจนกว่าจะหายคันกับครูบาอาจารย์ที่นี่อีกสักหนึ่งพรรษา"

โยมแม่ได้ฟังแล้วก็ได้แต่ยกมืออนุโมทนาสาธุการกราบลาพระลูกชายแล้วก็เดินออกจากวัดไปขึ้นรถพลางนึกถามตัวเองอยู่ในใจว่าคำว่าหมาขี้เรื้อน ของพระลูกชายหมายความว่าอย่างไรกันแน่หนอ...

http://greatfriends.biz/webboards/msg.asp?id=25953

พรของแม่

...
ทหารไทยคนหนึ่ง ต้องมีหน้าที่ออกไปรบกับข้าศึกในสงคราม เขาเป็นคนกำพร้าพ่อ เหลือเพียงแม่ผู้ให้กำเนิดเท่านั้น ก่อนจะจากแม่ไปสู่สมรภูมิ จึงถามแม่ว่ามีวัตถุมงคลที่ศักดิ์สิทธิ์ของพ่อ เป็นสมบัติเก็บไว้ให้กล้าหาญ และเป็นเครื่องคุ้มครองป้องกันอันตรายในการต้องจากแม่จากบ้าน และจากประเทศชาติเพื่อไปปฏิบัติหน้าที่โดยต้องเสี่ยวกับอันตรายถึงชีวิตได้ในครั้งนี้

แม่ได้ฟังลูกถามก็ใจหาย เพราะมีความเป็นห่วงลูกและสงสาร โดยที่ไม่มีวัตถุที่ศักดิ์สิทธิ์ เช่น พระเครื่อง ตะกรุด หรือผ้ายันต์ เป็นต้น อันเป็นของเก่าแก่และขลังเลย ครั้นจะบอกลูกตามตรงก็กลัวว่าลูกจะเสียกำลังใจ จึงตอบลูกว่า

"มีของเก่าที่ศักดิ์สิทธิ์อยู่อย่างหนึ่งลูกไปเมื่อไหร่แม่จะเตรียมมอบให้ ของนี้ลูกติดตัวไปแล้วแม่มั่นใจว่าจะช่วยคุ้มครองให้ลูกปลอดภัย และประสบชัยต่อศัตรูไม่รู้จักพ่ายแพ้"

ลูกชายได้ฟังก็ดีใจ จึงบอกวันที่กำหนดจะเดินทางให้แม่ทราบโดยยังมีเวลาเหลืออยู่อีก 2-3 วัน แล้วลาแม่ไปทำธุระอย่างอื่น

เมื่อลูกออกจากบ้านแล้ว แม่ครุ่นคิดว่า จะได้สิ่งใดให้ลูกตามที่ลูกต้องการนำติดตัวไป เพื่อเป็นเครื่องคุ้มครองภัย โดยลูกปรารถนา จะได้จากตนและเอ่ยปากขอ เพราะไม่มีสิ่งของที่ศักดิ์สิทธิ์ เช่นนี้เลยในบ้าน

และในที่สุดก็คิดได้จึงฉีกชายผ้านุ่งของแม่เองมาม้วนเรียวยาวขนาดพอดี แล้วเอาเชือกเล็กๆ รัดจนแน่นถักด้ายเป็นปลอกหุ้มทับไว้อีกจนหนาแน่นมองไม่เห็นว่าข้างในเป็นอะไร เพียงมองแต่ตาและเอามือคลำดูจะรู้สึกเหมือนว่าเป็นวัตถุมงคลชิ้นหนึ่ง จากนั้นจึงตั้งอธิฐานขออำนาจคุณพระศรีรัตนตรัยและคุณพระสยามเทวาธิวาชตลอดเทพยดาทุกองค์รวมกับความรักที่แม่มีต่อลูกอย่างแน่วแน่ จงเป็นเสมือนเกราะแก้วที่วิเศษช่วยคุ้มครองป้องกัน และพิทักษ์รักษาลูกซึ่งจะต้องไปปฏิบัติหน้าที่ของชายชาติทหาร ให้มีความปลอดภัย และประสบชัยชนะ อย่าได้มีอันตรายทั้งปวงทุกประการ แล้วแม่ก็เก็บสิ่งที่ทำไว้นั้นเป็นอย่างดี

ครั้นถึงวันที่ลูกจะเดินทางและเข้ามากราบเพื่อลาและขอพรจากแม่ แม่ให้พรด้วยถ้อยคำที่ดูดดื่ม เป็นที่ประทับใจอย่างยิ่งแล้ว มอบสิ่งที่ทำไว้แก่ลูกโดยบอกลูกว่า

"สิ่งที่แม่ให้ลูกนี้ แม่เชื่อมั่นว่ามีอานุภาพสูงสุด และศักดิ์สิทธิ์ แท้จริง ของลูกจงเก็บรักษาไว้กับตัวให้จงดี เพื่อเป็นเครื่องช่วยคุ้มครองลูกให้ปลอดภัยในที่ทุกสถานในกาลทุกเมื่อ และลูกจะประสบแต่ความชนะทุกครั้งไป โดยไม่รู้จักพ่ายแพ้ต่อศัตรูเลย"

ลูกชายกราบรับคำพรของแม่และรับของที่แม่มอบให้ขึ้นทูนศีรษะ เพราะเข้าใจว่าเป็นรูปพระเล็ก ๆ ที่เก่าแล้ว แม่จึงถักหุ้มแน่นหนากันหัก หรือคงเป็นตะกรุดที่พ่อเคยใช้ประจำตัว แล้วใส่กระเป๋าเสื้อลาแม่ออกจากบ้านไปด้วยความตั้งใจ โดยมีขวัญและกำลังใจดียิ่ง

ต่อมามิช้านานเขาถูกผู้บังคับบัญชาคัดเลือกส่งไปปฏิบัติงานสงครามโดยต้องอยู่แนวหน้า ทำหน้าที่ต่อสู้รบกับฝ่ายข้าสึกซึ่งเขามีความภาคภูมิใจอย่างมากทุกครั้งที่ชายผู้นี้ออกทำการรบ เขามีขวัญและกำลังใจดีเยี่ยม เพราะมีความมั่นใจว่าต้องปลอดภัย ต้องชนะ ด้วยเชื่อมั่นว่าเขามีของดีที่ขลังและศักดิ์สิทธิ์ที่ได้รับจากมือแม่ ประจำไว้อยู่กับตัวตลอดเวลา

ฉะนั้นจึงเป็นผู้ที่กล้าหาญ ไม่ครั่นคร้ามต่อสัตรูและมีไหวพริบดี ตัดสินในได้ถูกต้อง เฉียบขาดแม้ต้องต่อสู้กับปัจจามิตรถึงขั้นเข้าสู้อย่างใกล้ชิดตัวกัน เขาก็สามารถมีชัยชนะอย่างงดงาม และเป็นที่น่าอัศจรรย์ด้วยแคล้วคลาดไม่ต้องอาวุธศัตรูในการรบเลย ทั้งๆ ที่เพื่อนร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่ร่วมกับเขาแม้จะแขวนสร้อยห้อยคอด้วยพระเครื่องต่างๆ จำนวนมากองค์ ต้องบาดเจ็บและถึงแก่ความตายในการรบแต่ละครั้งๆ มิได้ว่างเว้น

แต่เขากลับโชคดีกว่าผู้อื่นที่ไม่เคยประสบอันตรายเลย ไม่เคยเสียเลือดเลยทุกครั้งไป จนผู้บังคับบัญชาและเพื่อน ๆ ของเขา เชื่อและพูดกันเป็นเลื่องลือว่า

"เขามีของดีที่ขลังและศักดิ์สิทธิ์ วิเศษกว่าผู้อื่น เป็นเครื่องคุ้มครองตัว จึงมีความปลอดภัยจนจิตใจเข้มแข็ง กล้าหาญ ผิดกว่าผู้อื่นทั้งหลาย"

ครั้นเมื่อสงครามอินโดจีนสงบแล้ว ชายผู้นั้นกลับเข้าประจำการ ณ หน่วยทหารที่ตนสังกัด ไปหาแม่ที่บ้าน กราบแม่และเล่าเรื่องราวที่คนทั้งหลายเลื่องลือให้แม่ฟัง แล้วสิ่งที่ตนมั่นใจว่าเป็นของขลัง อันศักดิ์สิทธิ์นั้นแก่แม่เพื่อเก็บไว้ จะได้มาขอติดตัวไปใช้ใหม่ในเมื่อโอกาสอันสมควร

แม่ฟังลูกเล่าเรื่องทั้งปวงด้วยความระทึกใจอยากจะพูดอยากจะชี้แจงให้ลูกเข้าใจ ว่าของที่ลูกมั่นใจว่าขลังและศักดิ์สิทธิ์นั้น ที่แท้คือผ้านุ่งของแม่ และที่ลูกได้รอดพันอันตรายทั้งปวงทุกประการอย่างน่าอัศจรรย์นั้นแท้จริงก็ด้วยเมตตาจิตของแม่เป็นเครื่องปกปักคุ้มครองอย่างสำคัญ เพราะแม่ได้หมั่นสวดมนต์และแผ่เมตตาอธิษฐานต่อพระรัตนตรัย และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ช่วยคุ้มครองป้องกันภัยทุกประการ อย่าให้เกิดแก่ลูกและขอให้ลูกมีความสุขในที่ทุกสถาน แม่ผูกใจถึงลูกอธิฐานเพื่อความปลอดภัย และแผ่เมตตาต่อลูกเพราะความรักอย่างแท้จริงแรงใจและแรงรักของแม่จึงเกินพลานุภาพอันอิ่งใหญ่ส่งผลแก่ลูกสมดังที่แม่มุ่งหวังทุกประการ

แต่แม่ก็ไม่ได้พูดอธิบาย ให้ฟังเข้าใจโดยเขารู้ความจริงเรื่องนี้

ในอีกหลายปีต่อมา เมื่อแม่เขาเจ็บหนักใกล้จะสิ้นในตาย จึงกล่าวให้เขาทราบ แต่กระนั้นเขายังเก็บรักษาชายผ้านุ่งแม่ชิ้นนั้นไว้อีกตลอดไป

ชายผ้านุ่งของแม่แท้ ๆ รวมด้วยความเมตตาของแม่ที่มีต่อลูกที่รักแม่ยังกลายเป็นสิ่งศักดิ์สิทธ์ที่น่าอัศจรรย์ได้ฉะนี้ ฯ

http://www.dhammathai.org/dhammastory/story31.php

พ่อครับขอยืมตังค์หน่อย/อ่านแล้วซึม

...
เสร็จจากงานถึงบ้าน เกือบสามทุ่มเข้าไปแล้ว เขาเดินเข้าบ้าน ที่ดูเงียบเหงา เนื่องจากภรรยาเสียชีวิตไปเมื่อปีกลาย ทิ้งลูกชายคนเดียวไว้ กับเขาให้หาเลี้ยงลูกตามลำพัง ดีว่าเจ้าหนูน้อยพอจะช่วยตัวเองได้บ้าง อาหารก็กิน อาหารปิ่นโต ที่ผูกประจำ หากินเองได้ ทำให้ไม่เป็นภาระมากมายนักเข้ามาในบ้าน เหงื่ออาบแก้ม ยังไม่ทันได้พัก ผู้เป็นพ่อ เห็นหน้าลูกชายวัยซน ที่รอรับหน้า เอ่ยปากทัก

"พ่อครับ วันนี้ทำงานเหนื่อยมั้ยครับ""

เหนื่อยสิลูก แล้ววันนี้ทำการบ้านเสร็จแล้วเหรอ"

ผู้เป็นพ่อตอบเนือยๆ พร้อมกับถาม ต่อด้วยความเคยชิน

"เสร็จหมดแล้วครับ คือ ผมมีเรื่องบางอย่างอยากจะถามพ่อน่ะ พ่อว่างหรือยังครับ" ลูกชาย ตัวน้อย ถามต่อ

"เดี๋ยวพ่อจะไปอาบน้ำ หาข้าวกินข้าวซักหน่อย แล้วคงจะเข้านอน วันนี้เหนื่อย เหลือเกิน ว่าแต่แก จะถามอะไรพ่อเหรอ"

ผู้เป็นพ่อ ถามด้วยน้ำเสียงอ่อนล้า

"คือผมอยากรู้ ว่า พ่อทำงานได้ ค่าจ้างวันละเท่าไร ครับ"

ลูกชาย ถามด้วยน้ำเสียงใสซื่อหันมามองหน้าลูกชาย พร้อมกับขมวดคิ้วด้วยความสงสัย แล้วผู้เป็นพ่อ แต่ก็ตอบไปว่า

" วันล่ะ สี่ร้อย""

งั้นผม ขอยืม ตังค์ พ่อ ซักสองร้อยได้มั้ยครับ "

ลูกชาย ตัวน้อย เอ่ยปาก ด้วยสายตาวิงวอน"

หา แกว่าไง นะ" ผู้เป็นพ่อ ขึ้นเสียงด้วยอารมณ์ ก่อนที่จะหันมา พูดกับ ลูกชายด้วยเสียงเข้มขึ้นกว่าเดิม

" นี่ฟังนะ แกคิดว่าเงินทอง หาได้ง่ายๆเหรอ กว่าพ่อจะได้เงิน สี่ร้อยบาท ต้องทำงาน เหนื่อยตั้งแต่เช้ายันค่ำ แต่ พอกลับมาถึงบ้าน เจอแก รอขอยืมเงิน พ่อง่ายๆ แบบนี้นี่นะ แกลองไปคิดดูให้ดี สิ ว่า แกทำประโยชน์อะไรให้พ่อบ้าง พ่อถึงจะต้องให้ เงินสองร้อยนี่ ให้แกยืม"

เด็กชายยืนนิ่ง มองหน้าพ่อ ไม่มีเสียงหลุดออกจากปาก แต่น้ำตาไหลซึม ลงอาบร่องแก้มทั้งสองข้าง ก่อนที่จะหันหลังเดินกลับห้องตัวเอง อย่างซึมเซา
.หลังจากอาบน้ำเสร็จ แวะเข้าครัว หาข้าวปลากินเรียบร้อย เขาหยิบบุหรี่ขึ้นมาจุดสูบ เดินไปที่ระเบียง ความรู้สึกเคร่งเครียดที่ได้รับ มาจากงานนอกบ้านเริ่มผ่อนคลาย คิดไปถึงอดีตที่ผ่านและงานที่ทำมาทั้งวัน แล้วก็ย้อนกลับคิดไปถึงลูกชายตัวน้อยลูกเป็นเด็กดี ไม่เคยเกเร ไม่เคยเอ่ยปากขอเงิน เพิ่ม นอกจากเงินค่าขนม ที่เขาให้ประจำวันเท่านั้น แต่วันนี้ทำไมถึงเอ่ยปากยืมเงินเมื่อสักครู่ เขาเหนื่อยเกินไป หรือ เครียดเกินไปหรือป่าว ถึงได้ใช้อารมณ์ กับลูกไปอย่างนั้น

เมื่อได้คิด เขาดับบุหรี่ แล้วเดินไปที่ห้องลูกชาย ไฟในห้องนอนดับแล้วเมื่อเปิดประตูเข้าไป เอื้อมมือเปิดไฟในห้อง หนูน้อยนอนตะแคงหน้า ตายังคงลืมจ้องมองมาที่ประตู แก้มที่แนบกับหมอน ชุ่มด้วยน้ำตา พร้อมเสียงสะอื้นเบาๆอยู่คนเดียวเขาเดินไปนั่งที่ขอบเตียงมือลูบผม ลูกชายเบาๆ พร้อมกับเอ่ยปากด้วยน้ำเสียงเครือ จุกคอ

"พ่อขอโทษ นะลูก เมื่อกี้พ่อเหนื่อยมามากเลยใช้อารมณ์ กับลูกมากไปหน่อย จริงๆตะกี้พ่อไม่ได้ถามลูกด้วยซ้ำว่า ลูกอยากยืมเงินพ่อไปทำไม ลูกอาจจะมีเหตุจำเป็นที่จะต้องใช้เงินก็ได้เงินแม้ว่าจะหาได้ลำบาก ไม่ได้ได้มาง่ายๆ แ ต่ถ้าลูกมีเหตุผลเพียงพอ พ่ออาจจะให้ยืมก้อได้ เพราะว่า ลูก น่ะสำคัญสำหรับพ่อเหนือ สิ่งอื่นใด และพ่อ รักลูกจ้ะ"

"ว่าแต่ ไหนลูกลองบอกพ่อสิว่า ลูกอยากยืมเงินสองร้อยไปทำอะไร"

ผู้เป็นพ่อถามลูกชายที่มองหน้าพ่อนิ่ง ด้วยน้ำเสียงปราณี เต็มเปี่ยมด้วยความรักลูกชายตัวน้อย ส่งเสียงสะอื้นจากลำคอ

"พ่อครับ ตั้งแต่แม่ตาย ผมเห็นพ่อต้องทำงานหนัก เพื่อหาเงินทุกวัน จนไม่ได้พัก ไม่ได้อยู่กับผมเลย เราแทบไม่มีเวลาได้อยู่ด้วยกันผมเลย ค่อยๆ เก็บค่าขนมของผมไว้ตลอดมา จนถึงตอนนี้ผมเก็บได้สองร้อยบาทแล้ว แต่พอผมรู้จากพ่อว่า พ่อทำงานได้ ค่าจ้างวันล่ะสี่ร้อย ผมจึงอยากยืมพ่อเพิ่มอีกสองร้อย ให้เป็นสี่ร้อย เพื่อจะได้ใช้เป็นค่าจ้างให้พ่อได้พัก ได้อยู่กับผม ซักวันนึงครับ"

เงินทอง อาจจะจำเป็น ต่อการดำรงชีวิต
แต่ ครอบครัว ยังคงต้องการ ความรัก ความอบอุ่น และ เวลาที่มีให้ แก่กัน

"อย่าห่วงงานจนลืม ครอบครัว และ คนที่คุณรัก "
...
http://www.yehyeh.com/webboard-8805/