วันเสาร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

นางฟ้าในใจ

...



ความทรงจำที่ผมยืนมองรถไฟด่วนพิเศษ กรุงเทพ ปลายทาง อุบลราชธานี ที่ค่อยๆเคลื่อนออกจากสถานีรถไฟหัวลำโพงเมื่อตอนเช้าตรู่ของเช้าวันหนึ่งในปี๒๕๔๑ยังแจ่มชัด
ก่อนที่รถไฟจะเคลื่อนขบวน ผมขึ้นไปล่ำลาแม่ แม่อวยพรให้ผมเจริญก้าวหน้า ไม่นึกเลยว่าการได้พูดคุยกับแม่ในครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายในชีวิต
แม่เป็นวีรสตรีในดวงใจของผม หญิงบ้านนอกชาวนาคนนี้ มี ความคิดอ่านที่ไม่ธรรมดา แม่เห็นคุณค่าของการศึกษา หาบขนมจีนขายเพื่อส่งพี่สาวคนโตเรียน คนอื่นก็มองว่า แม่จนแล้วไม่เจียม แต่แม่ก็ทำงานหนักเพื่อส่งลูกเรียนจนจบมัธยมปลาย มศ. ๕สมัยก่อน แล้วพี่สาวก็เข้ากรุงเทพไปทำงานส่งตัวเองเรียนในระดับมหาวิทยาลัย

เมื่อนึกถึงแม่ ความทรงจำเมื่อวัยเด็กก็ผุดขึ้นมาเป็นภาพที่ยังไม่เลือนหาย ช่วงชีวิตที่ได้อยู่กับแม่ คือช่วงชีวิตที่อบอุ่นและมีความสุข ครอบครัวเราอยู่กลางทุ่งนา อยู่กับท้องทุ่งหาเช้ากินค่ำ มีความสุขตามประสาชาวไร่ชาวนา แม่จะสอนให้รู้จักทำงานและมีวินัย จะตัองทำงานให้เสร็จก่อนแล้วค่อยไปเล่นได้ ยังจำได้ว่าแม่อยากให้ผมท่องบทอิมินาให้ได้ ผมก็ท่องไม่ได้สักทีและตอนนั้นผมก็ยังเด็กไม่เข้าใจว่าบทอิมินา(กรวดน้ำ อุทิศส่วนกุศล)คืออะไร
ตารางการดำเนินชีวิตประจำวันของผมสมัยเด็กค่อนข้างชัดเจน ผมจะต้องทำงานบ้าน เลี้ยงควาย ทำการบ้าน เพราะผมรู้ดีว่า ถึงแม้ว่าแม่ผมจะเป็นคนจิตใจดีขนาดไหน ผมอย่าได้ริลองออกนอกกรอบ เพราะรางวัลที่ผมได้รับคือไม้เรียว
ผมอยากลองเป็นเด็กดื้อพูดไม่รู้เรื่องบ้างในวันหนึ่ง ผลที่ผมได้รับคือ ไม้เรียวที่หวดไม่ยั้ง แถมรังมดแดงอีกหนึ่งรังที่ผมโดนโรยใส่ขา
ถึงผมจะโดนตีเพราะความซนมากแค่ไหน ความรักที่ผมมีต่อแม่ไม่เคยลดน้อยลงไปเลย จากวัยเด็กในท้องทุ่ง ผมเข้าสู่สถาบันการศึกษาอันดับหนึ่งของจังหวัดนำความภาคภูมิใจมาให้แม่
ความสุขของผมประการหนึ่งก็คือทำให้แม่ภาคภูมิใจ
แม่จะดุผมทันทีถ้ารู้ว่าผมไปหยิบยืมอุปกรณ์การเรียนของเพื่อนมา แม่บอกว่า สิ่งไหนที่จำเป็นเราจะต้องซื้อหาเอาไว้ใช้เองอย่าได้ไปเที่ยวหยิบยืมผู้อื่น
ผมโตเป็นหนุ่มนักเรียนมัธยมปลายแล้ว ผมพาแม่ไปวัด ยังจำได้ว่าครั้งหนึ่งผมเคยถามแม่ว่า ทำไมผมชวนแม่ไปทำบุญที่ไหน แม่ก็ไปง่าย ๆ แม่ตอบผมว่า อะไรที่เป็นความดีแม่ขอทำหมด
ช่วงวัยรุ่นผมอยากรับประทานมังสวิรัติ แม่เป็นห่วงผม กลัวผมขาดวิตามิน แต่แม่ก็ฝืนความดื้อของผมไม่ได้ แต่มันดีอย่างคือทำให้แม่ไม่ต้องฆ่ากบฆ่าปลา เพราะแม่ก็ไม่อยากฆ่าสัตว์แต่ต้องฆ่าเพื่อทำกับข้าวให้ลูกหลานกิน พอผมกินมังสวิรัติตอนช่วงเรียนมัธยมปลาย แม่ก็เลยบอกว่าแม่เลิกฆ่าสัตว์แล้ว ยังจำได้ว่า เวลาเลิกเรียนกลับบ้านตอนเย็น ๆ มีแกงวุ้นเส้นหม้อโตฝีมือของแม่เอาไว้รอผม ผมอิ่มทั้งท้อง อิ่มทั้งใจจากความรักของแม่
ตอนที่ผมปวดท้องแทบแย่คนที่คอยเฝ้าดูอาการอย่างกระวนกระวายคือแม่
ตอนที่ผมไข้ขึ้นสูงคนคอยเช็ดตัวและพาไปหาหมอคือแม่
ยามที่ผมเลิกเรียนหิวจนตาลาย คนที่ทำกับข้าวไว้รอคือแม่
แม่สอนให้ลูก ๆ อยู่ในศีลธรรม แม่เกลียดการพนัน และสุรา พี่คนหนึ่งโตแล้วถูกแม่ตามไปตีกลางวงไพ่ แม่บอกว่าเลี้ยงลูกมาด้วยความยากลำบาก จะมาทำมาหากินแบบนี้หรือ
สมัยเด็กผมยังจำได้ว่าแม่พาผมไปตามพ่อที่เมาแอ๋ พอแม่เจอพ่อ แก้วเหล้าในมือพ่อก็หลุดกระเด็นด้วยแรงตบของแม่
นึกย้อนหลัง แม่ผมเป็นหญิงชาวนาธรรมดา ทำไมแม่มีศาสตร์และศิลป์ในการเลี้ยงลูกอย่างสมบูรณ์ มีทั้งไม้อ่อนและไม้แข็ง
แม่ไม่เคยใช้คำด่าหยาบคายกับลูก แต่ก็พร้อมจะลงโทษเมื่อลูกทำผิด และไม่เข้าข้างลูกเมื่อทำผิด
ความสุขในวัยรุ่นสมัยเรียนมัธยมต้นมัธยมปลายก็กำลังจากไปเมื่อผมสอบโควตาเข้ามหาวิทยาลัยได้ ข่าวการสอบได้ของผมทำให้แม่มีความสุขมาก
ผมไปอยู่หอพักของมหาวิทยาลัยได้กลับบ้านประมาณเดือนละครั้ง แม่จะเขียนจดหมายมาหาผมเป็นประจำ ตอนนั้นแม้แม่จะอายุมากย่างหกสิบแต่แม่ก็ยังเขียนจดหมายได้ดี ผมยังจำคำลงท้ายในจดหมายฉบับสุดท้ายที่แม่เขียนถึงผมได้ว่า ขอให้ลูกแม่มีความสุขสบายดี
ความรู้สึกดีๆ ของแม่ที่มีต่อผมถูกมรสุมชีวิตของผมเข้ามาบั่นทอน ผมจบช้ากว่าเพื่อนร่วมรุ่น๑ปีเพราะสมัยเรียนผมไม่พอใจในสิ่งที่ตัวเองมี พยายามไปสอบแข่งขันเพื่อจะเข้าเรียนในคณะที่ตัวเองใฝ่ฝัน ระหว่างรอรับปริญญาผมผันตัวเองเข้าสู่วงการธุรกิจประกันชีวิต สร้างความผิดหวังให้กับแม่อย่างมาก เพราะแม่อยากให้ผมทำงานที่ร่ำเรียนมา
ในวันที่แม่มารับปริญญา แม่พูดกับพี่ผมว่า เมื่อไหร่ผมจะทำงานโรงพยาบาล จะให้แม่ คอยดูตอนที่แม่เกาะอยู่บนยอดไม้หรืออย่างไร
คำพูดนี้สร้างความสะเทือนใจแก่ผมเป็นอย่างมาก ผมจึงไปตะเวนสมัครงานตามโรงพยาบาล พอดีรู้จักกับรุ่นพี่ที่ทำงานอยู่สถานพยาบาลของมูลนิธิแห่งหนึ่ง เขาจะให้ผมมาช่วยงาน ผมจึงแจ้งข่าวนี้ไปแก่แม่
แม่ได้รับข่าวนี้แล้วรู้สึกดีใจ หลังจากนั้นไม่กี่เดือน แม่ก็อำลาโลกใบนี้ไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ แม่ได้ทิ้งกรมธรรม์ประกันชีวิตไว้ก้อนหนึ่ง ผมเคยถามแม่ว่า แม่ทำประกันทำไม แม่บอกผมว่า แม่ไม่มีอะไรจะให้ลูกนี่คือสิ่งสุดท้ายที่แม่จะให้ได้
ผมเปิดดูชื่อผู้รับผลประโยชน์ ระบุชื่อผม นี่คือ ความรักที่แม่มีต่อผมจนวาระสุดท้าย
แม้แม่จะจากไปแล้วผมยังรู้สึกว่าแม่ยังอยู่ใกล้ๆ ปี๒๕๔๓ ผมไปเป็นทหารกองประจำการ วันหนึ่งดื่มเหล้าเมาอาเจียนจนแทบเป็นลม พอผมหลับฝันเห็นแม่ แม่ไม่เคยพูดคำหยาบกับผม แต่ครั้งนี้แม่โกรธมาก พูดกับผมว่า เมื่อไหร่มึงจะเลิกดื่มเหล้า ผมตกใจมาก จึงบอกแม่ไปว่า เมื่อผมปลดทหาร
และตอนที่ผมจะบวชปี ๒๕๔๖ แม่ยังไปเข้าฝันพี่ชายว่า ให้ไปงานบวชผม เพราะไม่มีญาติมาเลย พี่ชายเล่าให้ฟังว่าพอคิดจะเบี้ยวไม่มางาน ก็รู้สึกเหมือนจะครั่นเนื้อครั่นตัวเหมือนจะจับไข้ พออธิษฐานบอกแม่ว่าจะไปงานบวชอาการจับไข้ก็หาย
ความรักของแม่ช่างยั่งยืน แม้แม่จะจากโลกนี้ไปแล้ว ความรักที่มีต่อลูกยังไม่จางหาย
ผมอยากบอกลูก ๆ ทุกคนที่คุณแม่ยังอยู่ด้วยว่า ท่านเป็นผู้โชคดีที่สุด โชคดีเหลือเกินที่พระอรหันต์ประจำบ้านของท่านยังอยู่ ดูแลท่านให้ดีเถิดครับ พูดกับท่านด้วยปิยวาจา ทำให้ท่านสุขสบายใจ
แต่การตอบแทนบุญคุณของท่านที่ดีที่สุด ก็คือทำให้ท่านมีสัมมาทิฐิ ถึงพร้อมด้วย ทาน ศีล ภาวนา นั่นคือท่านได้ทำหน้าที่ของลูกได้สมบูรณ์ที่สุดแล้ว


และสำหรับท่านที่แม่จากไปแล้วก็อย่าเพิ่งเสียใจนะครับ พอดีวันหนึ่งผมไปอ่านเจอบทความของสมาขิกในเวปดีเอ็มซีเขียนไว้ดีมาก อ่านแล้วผมประทับใจ เขาบอกว่า แม่ไม่ได้จากเราไปไหน แม่ยังอยู่กับเรา ตลอด เวลาที่เราอยู่ในครรภ์และน้ำนมที่เราดื่มกิน เท่ากับกับเราดื่มเลือดจากอกแม่ เราจึงคือก้อนเลือดก้อนเนื้อของแม่ ฉะนั้นจึงขอให้เราใช้ร่างกายนี้ในการสร้างบุญกุศลสร้างบารมี เพื่อตอบแทนที่แม่ให้ร่างกายให้ชีวิตเรามา
หากมีข้อความใดที่เกิดแรงบันดาลใจแก่ผู้อ่านบ้างของบทความนี้ ผมขอมอบผลบุญนี้แก่ผู้ที่ได้ชื่อว่า “แม่” ทุกคนบนโลกใบนี้
และขอมอบให้ “แม่เหลี่ยม ชะอุ่มพันธ์” นางฟ้าในใจผม คนดี คนเดียว ตลอดไป

http://www.banyaibook.com/index.php/colum/bao/201-b520805
วันพุธที่ 05 สิงหาคม 2009 เวลา 11:36 น. บ่าวอุบล

ไม่มีความคิดเห็น: