วันศุกร์ที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2550

จะมีสิ่งใดมีค่าไปกว่านี้อีก

.......
ผู้โดยสารบนรถประจำทางกำลังมองผู้หญิงหน้าตาดีคนหนึ่ง ที่มีไม้เท้าขาวอยู่ในมืออย่างเห็นอกเห็นใจ เธอเดินขึ้นบันได รถอย่างระมัดระวังหลังจากชำระค่าโดยสารให้แก่พนักงานแล้ว ใช้มือคลำหาที่นั่งค่อยๆ ก้าวลึกเข้าไปตามช่องทางเดิน จนกระทั่งเขาจะเป็นฝ่ายกระซิบบอกเมื่อพบที่ว่าง เธอจึงนั่งลงวางกระเป๋าถือไว้บนตัก และเก็บไม้เท้าเอามาพาดไว้บนหน้าขา

หนึ่งปีแล้วที่ซูซานวัย 34 ปีได้กลายเป็นคนตาบอด การวินิจฉัยทางการแพทย์ที่ผิดพลาด ทำให้เธอต้องตกอยู่ในโลกมืด ไม่อาจมองเห็นได้อีกต่อไป อารมณ์โกธรแค้น สูญเสียและสงสารตัวเอง พลันอุบัติขึ้นและดำรงอยู่นับแต่นั้นเป็นต้นมา ก่อนนั้นซูซานสามารถอยู่ได้ด้วยตัวเอง แต่บัดนี้เธอรู้สึกเหมือนถูกลงทัณฑ์ด้วยเคราะห์กรรมสักอย่าง ให้กลายเป็นคนไร้ความสามารถ ช่วยตัวเองไม่ได้ กระทั่งกลายเป็นภาระของคนรอบข้าง

“ ทำไมฉันต้องเป็นเช่นนี้ ” เธออยากสู้คดี…

หัวใจเธอเต็มไปด้วยความโกรธ แต่ไม่ว่าจะร่ำไห้คร่ำครวญ ตีโพยตีพาย หรือสวดมนต์วิงวอนเพียงใด เธอก็ตระหนักถึงความจริงอันเจ็บปวดว่า สายตาเธอนั้นไม่มีวันกลับคืนมาดีได้ดังเดิมอีกแล้ว เมฆหมอกแห่งความหดหู่ได้ปกคลุมจิตใจ ที่เคยมองโลกในแง่ดีของซูซานไปเสียแล้ว เพียงแค่จะใช้ชีวิตให้ผ่านไปในแต่ละวัน ก็ดูจะสั่งสมถมเพิ่มความหงุดหงิด และเหนื่อยอ่อนให้เธอเกินจะแบกทานไหว

ทั้งหมดนี้จึงทำให้เธอต้องผูกพันอยู่กับมาร์ก ผู้เป็นสามีแต่เพียงผู้เดียว มาร์กเป็นทหารอากาศซึ่งรักซูซานจนหมดหัวใจ เมื่อแรกที่เธอนั้นต้องสูญเสียการมองเห็นไปนั้น เขาได้แต่นั่งมอง ภรรยาจมอยู่กับความผิดหวังครั้งแล้วครั้งเล่า

ถัดมาเขาก็เกิดปณิธานอันแน่วแน่ที่จะช่วยเธอกลับมาเป็นคนเข้มแข็ง และมีความมั่นใจในตัวเองเหมือนอย่างที่เคยเป็น จากประสบการณ์ด้านการทหารที่ถูกฝึกฝนมาอย่างดี เพื่อเผชิญกับสถานการณ์อันละเอียดอ่อน เขาพบว่านี่เป็นศึกหนักที่ยากสุดเท่าที่เขาเคยเผชิญมา

และแล้วซูซานก็พร้อมจะกลับไปทำงานอีกครั้งหนึ่งแต่ปัญหายังมีอยู่ว่า เธอจะเดินทางไปทำงานได้อย่างไร ก่อนนี้เธอ เคยใช้บริการรถประจำทาง แต่ยามนี้เธอกลับวิตกที่จะต้องไปไหนมาไหนโดยลำพัง มาร์กอาสาขับรถไปส่งเธอ แม้ทั้งคู่ จะทำงานกันคนละมุมเมืองเลยก็ตาม ความคิดดังกล่าวทำให้ซูซานสบายใจขึ้น ทั้งยังเป็นการสนองความปรารถนาของมาร์กที่อยากดูแลคู่ชีวิตผู้ขาดความมั่นใจ ที่จะเผชิญกับสถานการณ์อันเปราะบางที่สุดเช่นนี้

ในไม่ช้ามาร์กก็ตระหนักว่าความคิดนั้นไม่เข้าท่า วุ่นวายและสิ้นเปลืองมากเกินไป “ ซูซานต้องกลับไปขึ้นรถประจำทางอีกครั้ง ” เขาสรุปกับตัวเอง แต่เพียงแค่คิดจะเอ่ยเรื่องนี้กับเธออย่างไร ก็ทำให้ เขารู้สึกหนักใจเสียแล้ว เนื่องจากเพราะเธอต้องการคนคอยดูแลอย่างใกล้ชิด บวกกับยังเป็นคนเจ้าอารมณ์อยู่มาก

“ เธอจะคิดอย่างไรนะ… “

มาร์กอดปรารภกับตัวเองไม่ได้ การณ์เป็นไปตามที่มาร์กคาดไว้ไม่มีผิด ซูซานกลัวที่จะกลับมานั่งรถประจำทางอีกครั้ง

“ ฉันตาบอดนะ ” เธอกล่าวอย่างขมขื่น “
แล้วฉันจะรู้ได้อย่างไรว่าฉันกำลังจะไปไหน มาร์ก…
คุณรู้สึกไหมว่าฉันรู้สึกว่าคุณกำลังจะทอดทิ้งฉัน ”

หัวใจมาร์กพลอยปวดร้าวเมื่อได้ยินคำพูดของเธอ เขาจึงสัญญาว่าจะอยู่เป็นเพื่อนเธอทุกเช้าและเย็นจนกว่าเธอจะค่อยๆคุ้นชิน แล้วมันก็เป็นเช่นนั้นจริงๆๆ… เป็นเวลาสองสัปดาห์ที่ผู้โดยสารบนรถประจำทางสายนั้น ได้เห็นมาร์กในเครื่องแบบทหารเต็มยศ ปรากฏร่างอยู่เคียงข้างเป็นเพื่อนเธอทั้งเช้าและเย็นทุกวัน เขาเฝ้าอดทนสอนให้เธอรู้จักใช้ประมาทสัมผัสอื่นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการได้ยิน เพื่อจะได้รู้ว่าขณะนี้กำลังอยู่ที่ใด รวมทั้งยังสอนให้เธอรู้จักปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมใหม่ และช่วยเธอผูกมิตรกับพนักงานขับรถ เพื่อที่เขาคนนั้นจะได้ช่วยดูแลหาที่นั่งให้เธออีกทางหนึ่ง

นอกจากนี้เขายังทำให้เธอหัวเราะได้แม้ในวันที่ดูจะเป็นปัญหา เช่น ตอนที่เธอหกล้มขณะเดินลงรถ หรือตอนที่เธอทำกระเป๋าถือหล่น จนเป็นผลให้เอกสารทั้งหลายทั้งปวงร่วงเกลื่อนทางเดิน ทั้งคู่จะออกเดินทางด้วยกันตอนเช้า แล้วมาร์กก็จะนั่งแท๊กซี่กลับไปทำงานตามปกติ ถึงแม้ว่านี่จะดูเป็นการสิ้นเปลือง และทำให้มาร์กเหน็ดเหนื่อยมากกว่าความคิดแรก แต่เขาก็รู้ดีว่ามีแต่เวลาเท่านั้นที่จะช่วยให้เธอสามารถขึ้นรถประจำทางได้ด้วยตัวเอง เขายังเชื่อมั่นในตัวเธอเสมอ…

ซูซานผู้ไม่เคยเกรงกลัวการท้าทายอันใด และไม่ยอมเลิกราอะไรง่ายๆ ในที่สุด วันที่ซูซานรู้สึกว่าตนพร้อมที่จะเดินทางโดยลำพังก็มาถึง ก่อนจะก้าวขึ้นรถประจำทางในเช้าวันจันทร์ เธอได้โอบกอดมาร์กผู้เป็นสามี และเคยเป็นเพื่อนร่วมทางบนรถที่ดีที่สุดของเธอ ดวงตาของเธอเต็มไปด้วยน้ำตาแห่งความตื้นตันในความซื่อสัตย์ ความอดทนและความรักที่สามีต่อเธอ จากนั้นเธอได้กล่าวลา และนั่นเป็นครั้งแรกที่ทั้งสองแยกกันเดินทางไปทำงาน จากวันจันทร์ อังคาร พุธ พฤหัส…

แต่ละวันดำเนินไปด้วยดีทว่าลึกๆ แล้วซูซานไม่เคยรู้สึกดีขึ้นเลย เธอเพียงแต่ทำไป ตามปกติ เดินทางไปทำงานด้วยตนเอง… เช้าวันศุกร์ เธอยังคงขึ้นรถประจำทางไปทำงานเช่นเคย และเมื่อกำลังจะลงจากรถนั้น

เธอได้ยินคนขับรถพูดขึ้นมาว่า “ แหม… ผมอิจฉาคุณจัง ”

แรกทีเดียวซูซานไม่มั่นใจว่าเขาพูดกับเธอหรือเปล่า…
ก็ใครเล่าจะอิจฉาคนตาบอดผู้พยายามรวบรวมความกล้าหาญเพื่อที่จะดำรงชีวิตอยู่ให้ได้ แต่ด้วยความอยากรู้ เธอจึงถามกลับไปว่า

“ ทำไมคุณอิจฉาล่ะ ”

คนขับรถตอบว่า “
ผมคงรู้สึกดีมากๆ หากมีใครสักคนมาคอยดูแลปกป้องเหมือนอย่างที่คุณได้รับอยู่
” ซูซานไม่เข้าใจในสิ่งที่เขาพูดจึงถามอีก
“ คุณหมายความว่าอย่างไรกัน ”

เขาตอบว่า “ คุณรู้ไหมว่าทุกเช้าๆตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมานี้ มีสุภาพบุรุษหน้าตาดีคนหนึ่งในเครื่องแบบทหารยืนตรงหัวมุมถนน คอยเฝ้าดูคุณเวลาคุณก้าวลงจากรถ รอจนมั่นใจว่าคุณได้ข้ามถนนอย่างปลอดภัยแล้วและยังคงคอยกระทั่ง คุณเดินเข้าไปในอาคารสำนักงานจนเรียบร้อย จากนั้นก็ส่งจูบและคำนับให้นิดหนึ่งก่อนจะเดินจากไป…นี่ละ… ผมจึงเห็นว่าคุณเป็นสุภาพสตรีที่โชคดีเหลือเกิน

” น้ำตาแห่งความปลื้มปิติค่อยๆไหลรินลงมาอาบแก้มของซูซาน แม้ขณะนี้เธอไม่อาจมองเห็นเขาได้ด้วยสายตาตนเองก็จริง แต่เธอสามารถสัมผัสได้ตลอดเวลา ถึงการมีอยู่ของมาร์ก เธอช่างโชคดี โชคดีมากๆ เพราะเขาได้มอบของขวัญที่มีคุณค่ามากกว่าการมองเห็น ของขวัญที่เธอไม่จำเป็นต้องได้เห็นถึงจะเชื่อ เป็นของขวัญแห่งความรัก ที่สามารถนำมาซึ่งแสงสว่างไปสู่ทุกๆ หนแห่งในความมืดมิด


ที่มา : หนังสือ…โลกไม่ไร้หัวใจเจือจาน รวมเรื่องแปลแห่งความปรารถนาดี
http://board.dserver.org/p/prachakom/00000013.html

ไม่มีความคิดเห็น: