วันศุกร์ที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2554

เรื่องเล่าสุดประทับใจ จากวิกฤตภัยพิบัติญี่ปุ่น

....

ใครจะเชื่อว่ายังมีเรื่องราวน่ารักน่าประทับใจเกิดขึ้นมากมายนับไม่ถ้วน ด้วยความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ความมีระเบียบวินัย และการยื่นมือช่วยเหลือซึ่งกันและกันได้อย่างน่าทึ่งของชาวญี่ปุ่น ซึ่งเรื่องราวมากมายได้ถูกบอกเล่า และถ่ายทอดผ่านทวิตเตอร์ ให้ผู้คนทั่วโลกได้น้ำตาซึมไปตาม ๆ กัน




1. ลูกชายวัย 5 ขวบบอกฉันว่า "อย่ากังวลเลยแม่ ป้องกันศีรษะตัวเองไว้ดี ๆ เวลาเกิดแผ่นดินไหว แล้วผมจะพาแม่ไปอยู่กับคุณตาหลังจากแผ่นดินไหวสิ้นสุดลง" และท่าทีของลูกที่พยายามจะปกป้องฉันด้วยร่างกายน้อย ๆ ก็ทำให้ฉันร้องไห้ ฉันไม่เคยคิดเลยว่าคำว่า "อย่ากังวล" ของเด็กตัวเล็ก ๆ จะมีความหมายที่ยิ่งใหญ่กับฉันได้ ขอบคุณจริง ๆ


2. วันเกิดเหตุ ฉันประทับใจกับการกระทำของเด็กชายข้างบ้านวัย 13 ปีมาก เขาอยู่บ้านคนเดียวขณะที่เกิดแผ่นดินไหว แต่แทนที่เขาจะหลบอยู่ในบ้าน เขากลับกระโดดคว้าจักรยานแล้วปั่นไปตามถนนพร้อมกับตะโกนว่า "ทุกคนเป็นยังไงบ้าง ทุกคนปลอดภัยดีใช่ไหมครับ" ในตอนนั้นมีเพียงหญิงชรา เด็ก และผู้หญิงอยู่ในบ้าน ฉันไม่อาจจะอธิบายได้เลยว่าฉันรู้สึกดีแค่ไหนที่ได้ยินเสียงหนักแน่นนั้นถาม ว่า ฉันปลอดภัยไหม ขอบคุณนะ ขอบคุณจริง ๆ


3. เด็กชายคนหนึ่งกำลังถือถุงขนมมาต่อแถวจ่ายเงินที่แคชเชียร์ และเขากำลังจะจ่ายตังค์ค่าขนมที่ซื้อมาอยู่แล้ว แต่เขากลับมองไปเห็นกล่องบริจาคเงินช่วยเหลือผู้ประสบภัย ในที่สุด นาทีต่อมา ผมก็เห็นเขาหย่อนเงินทั้งหมดที่มีลงในกล่องรับบริจาคที่อยู่ข้าง ๆ แคชเชียร์ ก่อนจะเอาขนมในมือกลับไปวางไว้ที่เดิมแล้วเดินออกจากร้านไป หลังจากนั้น ผมได้ยินพนักงานแคชเชียร์พูดว่า "ขอบคุณมาก ๆ" ด้วยน้ำเสียงสั่นเครือเบา ๆ


4. วันนี้ผมได้รับข้อความสั้น ๆ จากเพื่อนที่ทำงานอยู่ในโรงไฟฟ้าฟุกุชิม่า ก่อนที่เขาจะออกไปปฏิบัติภารกิจว่า "ผมไม่สนใจว่าผมจะต้องตายหรอก ยังไงผมจะต้องยับยั้งมหันตภัยจากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ให้ได้" และมันทำให้ผมร้องไห้ขณะอ่านข้อความนี้


5. การขนส่งใช้การไม่ได้เลย และฉันเหนื่อยกับการรอคอยอันยาวนาน แต่ทันใดนั้น ขอทานคนหนึ่งได้ยื่นกระดาษแข็งแผ่นหนึ่งมาให้ฉันแล้วบอกฉันว่า "เอานี่ไปสิ มันทำให้คุณรู้สึกอบอุ่นขึ้นได้" ไม่น่าเชื่อเลย ฉันเคยมองผ่านขอทานพวกนี้ไปแม้ว่าพวกเขาจะเข้ามาขอเศษเงินก็ตาม แต่สิ่งที่เขาทำกับฉันกลับแสนดีเหลือเกิน


6. ขณะที่ผู้คนกำลังยืนรอรถบัสอยู่นานสองนานท่ามกลางอากาศหนาวเหน็บ ผู้หญิงคนหนึ่งได้วิ่งเข้าไปในร้านขายยาที่อยู่หน้าป้ายรถเมล์ แล้วซื้อแฮนด์วอร์มเมอร์ออกมาหลายชิ้น ก่อนจะแจกให้กับทุกคนที่กำลังรอรถบัสอยู่ในขณะนั้น


7. ฉันพูดกับพนักงานสถานีรถไฟฟ้าโตเกียวว่า "คืนนี้ต้องเป็นคืนที่ทรหดสุด ๆ เลยนะ ขอบคุณมากค่ะ" และเขาตอบกลับมาด้วยรอยยิ้มว่า "เวลาอย่างฉุกเฉินอย่างคืนนี้ ผมเต็มใจครับ" ฉันประทับใจเหลือเกิน


8. ฉันส่งอีเมล์ถึงสามีซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่กู้ภัย ด้วยความเป็นห่วงว่าเขาอาจไม่ได้พักผ่อนเลยว่า "คุณสบายดีไหม หักโหมกับงานมากเกินไปนะ" เขาตอบฉันกลับมาว่า "อย่าดูถูกกองกำลังป้องกันญี่ปุ่น จะมีครั้งไหนที่เราต้องหักโหมกับงานมากไปกว่าครั้งนี้อีกเหรอ ระวังคำพูดของเธอหน่อยสิที่รัก" พวกเขาเข้มแข็งมาก ทั้งกายและใจ


9. เมื่อฉันเปิดกระเป๋าสะพายฉุกเฉินดู ก็พบกับข้อความที่พ่อฉันเขียนไว้เมื่อ 40 ปีก่อน มีใจความว่า "ขอให้มีแสงสว่างในหัวใจ ขอให้มีเสียงเพลงบนริมฝีปาก" และฉันจะเขียนมันบนกระเป๋าสะพายฉุกเฉินใบใหม่ เพื่อให้กำลังใจทุกคนที่มาเห็น


10. กว่า 4 ชั่วโมงที่ฉันเดินกลับบ้าน ระหว่างทางมีผู้หญิงคนหนึ่งยืนอยู่หน้าบ้านพร้อมกับชูป้ายที่เขียนว่า "เชิญใช้ห้องน้ำของเราได้ตามสบายนะคะ" ทำเอาฉันน้ำตาไหล ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่อบอุ่นที่สุดในโลกเลยจริง ๆ


11. ในจังหวัดชิบะ ชายชราคนหนึ่งได้พูดตัดพ้อขึ้นมาว่า "จะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้กันนะ" แต่ทันใดนั้น เด็กหนุ่มไฮสคูลที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ก็พูดขึ้นมาว่า "ไม่เป็นไรครับ อีกไม่นานหรอก เมื่อผมโตขึ้น ผมสัญญาว่าจะทำให้บ้านเมืองของเรากลับมาเป็นเหมือนเดิมอีกครั้ง" เด็กหนุ่มพูดพร้อมกับลูบหลังชายชราเบา ๆ เหมือนกับจะตอบคำถามของชายชราว่า อนาคตที่สดใสนั่นแหละ คือสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้


12. ชายชราคนหนึ่งได้รับความช่วยเหลือหลังจากติดอยู่ในบ้านกว่า 42 ชั่วโมง แต่เขากลับยิ้มร่าแล้วเปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่า "ฉันเคยอยู่ในเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่ชิลี ฉันเห็นว่าทุกคนสามารถลุกยืนขึ้นได้อีกครั้งด้วยตัวเอง ฉันรู้ว่าคนญี่ปุ่นก็ทำได้"


เครดิต
http://hilight.kapook.com/view/57319/4

>>>>>>>>>>>>>>

เพิ่มเติม 6 ก.ย.54จากผู้มีประสบการณ์
...

ได้มีโอกาสเจอด้วยตัวเองหลายครั้งในความมีจิตใจดีงามฝังลึกในสายเลือด

ความที่ไปหลายครั้งแบบไม่รู้ภาษาญี่ปุ่น เพราะไปครั้งละไม่กี่วัน ส่วนใหญ่ไปเดี่ยว

-ร้านขายของไม่ยอมขายของหมดอายุ เราไม่รู้เขากันไว้คืนคนส่งของ ไปหยิบมา เขารีบชิงหยิบออกจากมือเรา เปลี่ยนเอาของใหม่ให้

-ไม่รู้ราคาของ ยื่นสตางค์ให้กำมือหนึ่ง เขาจะหยิบเอาเท่าราคาของที่เราซื้อ

-เดินทางไกลโดยรถไฟ พอใกล้ถึงที่ลง มีคนมาช่วยบอกร่วมสิบคน เพราะคนที่มาส่งเราฝากฝังไว้กับเพื่อนร่วมทาง

-เมารถบนเขาที่ห่างไกลผู้คน บ้านเล็กๆบนเขาดูแลอย่างดี

-หลงกับคนที่มารับ ไม่รู้ภาษา ช่วยกันโทรศัพท์หาคนนั้นที่ที่ทำงานใหญ่เลย

>>>>>>>>

จดหมายต่อไปนี้เขียนโดย ฮา มิน ทัน ชาวเวียดนามที่ทำงานเป็นตำรวจในเมืองฟูกุชิมา เขาเขียนเป็นภาษาเวียดนามถึงเพื่อนที่อยู่ในประเทศเวียดนาม เมื่อวันที่ 19 มีนามคม 2554 บรรณาธิการ New American Media ได้แปลเป็นภาษาอังกฤษ หนังสือพิมพ์ชื่อไฮ้เดลีได้นำความในจดหมายนั้นมาเผยแพร่ดังนี้

เพื่อนรัก ฉันหวังว่าเพื่อนและครอบครัวคงสบายดี สองสามวันที่ผ่านมานี้ช่างเป็นเวลาที่สับสนวุ่นวายเสียเหลือเกิน เมื่อฉันหลับตา ฉันก็เห็นแต่ศพคนตาย เมื่อฉันลืมตา ฉันก็เห็นแต่ศพคนตายอยู่อีกนั้นแหละ พวกเราแต่ละคนต้องทำงานกันวันละ 20 ชั่วโมง แม้กระนั้น ฉันก็อยากให้วันหนึ่งๆ มีสัก 48 ชั่วโมง เพื่อที่พวกเราจะได้มีเวลาช่วยชีวิตผู้คนได้มากขึ้น พวกเราอยู่กันที่นี่โดยไม่มีน้ำและไฟฟ้า ส่วนแบ่งอาหารที่ได้รับก็น้อยเต็มที เราจัดการเคลื่อนย้ายผู้ประสบภัยไปไว้ยังที่หนึ่ง ก่อนที่จะมีคำสั่งใหม่ให้เคลื่อนย้ายพวกเขาไปอยู่ที่อื่นต่อไปอีก ตอนนี้ฉันอยู่ที่ฟูกุชิมา ห่างจากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ราว 25 กิโลเมตร ฉันมีเรื่องราวมากมายที่อยากจะเล่าให้เพื่อนฟังถ้าฉันสามารถเขียนบรรยายเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้ได้ ก็รับรองได้ว่า มันเป็นหนังสือตำราเรื่องความสัมพันธ์ของมนุษย์ในช่วงภาวะวิกฤติที่มีคุณค่ามากทีเดียว

ไม่น่าเชื่อในวิกฤติการณ์เช่นนี้ ผู้คนที่นั้นยังสงบนิ่ง พวกเขาแสดงศักดิ์ศรีของความเป็นอารยชน พวกเขามีพฤติกรรมที่ดีงาม ดังนั้น เหตุการณ์จึงไม่เลวร้ายไปอย่างที่น่าจะเกิดขึ้น ฉันไม่แน่ใจว่า ถ้าทอดเวลาให้นานออกไปอีกสักอาทิตย์หนึ่งอะไรจะเกิดขึ้น เพราะถึงอย่างไร พวกเขาก็ยังเป้นมนุษย์ มีความหิว กระหาย และต้องการรอดชีวิต ขณะนี้รับบาลญี่ปุ่นกำลังเร่งส่งสิ่งของที่จำเป็นไปช่วยเหลือผู้ประสบภัย ทั้งอาหารและยารักษาโรค แต่มันก็เหมือนเอาเกลือไปโรยลงในมหาสมุทร เพื่อนรักฉันมีเรื่องเล็กๆ เรื่องหนึ่งจะเล่าให้ฟัง เป็นเรื่องเกี่ยวกับเด็กญี่ปุ่นตัวน้อยๆ ที่ให้บทเรียนแก่ผู้ใหญ่อย่างฉันว่า

มนุษยชาติควรประพฤติปฎิบัติต่อกันอย่างไร เมื่อคืนวานนี้ ฉันถูกส่งไปที่โรงเรียนประถมศึกษาเล็กๆ แห่งหนึ่งเพื่อช่วยองค์กรการกุศลแจกอาหารแก่ผู้ประสบภัย คนเข้าแถวต่อคิวกันยาวเหยียด แถวนั้นวกวนไปมาอย่างกับงูเลื้อย ฉันเห็นเด็กผู้ชายอายุราว 9 ขวบคนหนึ่งยืนต่อคิวอยู่ท้ายสุด เขาใส่เสื้อยืดตัวเดียว และนุ่งกางเกงขาสั่น ตอนนั้นอากาศหนาวเย็นมาก ฉันเห็นเข้าก็รู้สึกห่วงมากว่ากว่าจะถึงคิวของเด็กคนนี้ อาหารที่เขาแจกก็คงไม่เหลืออีกแล้ว ฉันจึงเข้าไปคุยกับเขาเด็กน้อยเล่าว่า เขาอยู่ที่โรงเรียนเมื่อตอนเกิดแผ่นดินไหว พ่อทำงานอยู่ไม่ไกล พอเกิดแผ่นดินไหวพ่อก็รีบขับรถมาที่โรงเรียน เขายืนรอพ่ออยู่บนระเบียงชั้น 3 ได้เห็นกับตาว่าคลื่นยักษ์สึนามิกวาดเอารถของพ่อเขาไป


ฉันถามถึงแม่ของเขา เด้กน้อยบอกว่าบ้านของเขาอยู่ใกล้ชายหาดแม่และน้องสาวของเขาคงหนีไม่รอด เด็กน้อยเบือนหน้าหนี แล้วเช็ดน้ำตาที่หลั่งไหล เด็กน้อยหนาวสั่นสะท้าน ฉันจึงถอดแจ็กเก็ตตำรวจเพื่อให้เขาใส่คลุมทับเสื้อยืด ตอนนั้น ถุงอาหารที่ฉันได้รับปันส่วนมา ก็หล่นออกมาจากเสื้อแจ็กเก็ต ฉันเก็บถุงอาหารแล้วส่งให้เขา "กว่าจะถึงคิวหนู อาหารก็อาจจะหมดแล้ว หนูเอาส่วนของฉันไปเถอะ ฉันกินแล้ว" เด็กน้อยรับถุงอาหารจากฉัน แล้วโค้งขอบคุณอย่างสุภาพ ฉันคิดว่าเขาคงจะกินเสียเดี๋ยวนั้น

แต่ไม่เป็นอย่างที่ฉันคิด เขาถือถุงอาหารแล้วเดินไปที่ต้นคิว วางถุงนั้นรวมไว้กับถุงอาหารทั้งหมดที่รอแจก ฉันช็อค ถามเขาว่า ทำไมไม่กินอาหารที่ฉันให้ ทำไมเอาถุงอาหารที่ฉันให้ไปรวมกองอาหารที่แจกทั้งหมด เด็กน้อยตอบฉันว่า "เพราะผมเห็นผู้คนอีกมากมายหิวกว่าผม ถ้าผมเอาไปรวมไว้ที่นั่น พวกเราก็จะมีโอกาสได้รับแจกอาหารเท่าๆ กัน" ฉันได้รับฟังแล้วต้องเบือนหน้าหนี ไม่ให้ใครเห็นฉันร้องไห้ สังคมที่สามารถผลิตเด็ก 9 ขวบที่เข้าใจความหมายของคำว่าเสียสละต้องเป็นสังคมที่ยิ่งใหญ่จริงๆ สุดท้ายนี้ ฉันขอส่งความปรารถนาดีมายังเพื่อนและครอบครัว ตอนนี้ ถึงเวลาที่เวรทำงานของฉันกำลังจะเริ่มต้นอีกแล้ว

>>>>>

ไม่มีความคิดเห็น: