วันอาทิตย์ที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562

เงินสิบเหรียญที่หล่นอยู่บนพื้น

....

"เงินสิบเหรียญที่หล่นอยู่บนพื้น"

ตอนผมยังเป็นเด็ก  พ่อพาผมไปดูละครสัตว์  พวกเราเข้าแถวรอซื้อตั๋วเข้าชม

กลุ่มที่อยู่หน้าเรา  เป็นสมาชิกจากครอบครัวเดียวกัน  ประกอบด้วยพ่อ แม่ และลูกๆอีกหกคน  เด็กๆดูมีอายุต่างกันไม่มาก  ไล่เลี่ยกันจาก 5-6 ขวบไปจนถึง 12-13 ขวบ  แต่งตัวเรียบร้อยด้วยเสื้อผ้าธรรมดาๆ  แต่แลดูสะอาดสะอ้าน พวกเขายิ้มแย้มแจ่มใส  เป็นเด็กมารยาทดีทั้งนั้น  ทุกคนเข้าแถวเรียบร้อย  มือประสานมือซึ่งกันและกัน เด็กทุกคนกำลังตื่นเต้นและพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน รอที่จะได้เข้าไปดูตัวตลกที่เขาชื่นชอบ  ดูช้างดูเสือที่พวกเขารอคอย

คืนนั้นน่าจะเป็นคืนที่มีความสุขที่สุดของพวกเขาทุกคน  คนเป็นแม่ก็หน้าตาสดชื่นอิ่มเอิบ  ควงแขนสามีมองดูลูกๆอย่างมีความสุข  ในใจหล่อนอาจจะกำลังชมสามีว่า  "คุณคืออัศวินที่ยิ่งใหญ่ของลูกๆ"  คนเป็นพ่อก็มองหน้าภรรยาตนด้วยสายตาอบอุ่น ช่างดูเป็นครอบครัวที่มีความสุขเหลือเกิน

แล้วก็ได้เวลาที่พวกเขาจะได้ซื้อตั๋ว  "ขอตั๋วเด็ก 6 ใบ  ตั๋วผู้ใหญ่ 2 ใบ  เรามากันทั้งครอบครัวครับ"  คนเป็นพ่อพูดจาเสียงดังฟังชัดบอกคนขายตั๋วด้วยความภูมิใจ

คนขายตั๋วบอกจำนวนเงินที่เขาต้องจ่าย  คนเป็นแม่ควักเงินออกจากกระเป๋า นับแล้วนับอีก  นับแล้วก็ยังนับอีกรอบ  หล่อนเงยหน้าไปหาสามี  พร้อมแววตาที่มีกังวล  ฝ่ายสามีมีสีหน้าตกใจเล็กน้อย  ถามคนขายตั๋วถึงราคาตั๋วอีกครั้ง

แน่นอนที่สุด  เงินเขาไม่พอจ่ายค่าตั๋วแน่นอน ทั้งสองมองดูหน้าตาเด็กๆที่กำลังมีความสุขอย่างที่สุด  เขาจะบอกลูกๆอย่างไรดีว่า  "เรามีเงินไม่พอซื้อตั๋ว"

แม้พวกเขาจะพยายามค้นหาเงินเพิ่มจากกระเป๋าเสื้อผ้าทุกใบ  แต่เหตุการณ์ก็ไม่มีอะไรดีขึ้น  เวลาผ่านไปพอประมาณ จนเริ่มได้ยินเสียงบ่นจากคนที่ต่อแถวยาวอยู่ข้างหลังดังขึ้นเรื่อยๆ  และมีสายตาติเตียนเหยียดหยามมองมาที่พวกเขา  แต่ทั้งคู่ก็ยังหาทางออกไม่ได้ว่าจะแก้ไขปัญหาอย่างไรดี

พ่อของผมที่เข้าแถวต่อจากพวกเขา  ยืนดูเหตุการณ์ทั้งหมดอย่างเงียบๆ  แล้วพ่อก็เอามือล้วงเข้าไปในกระเป๋าเสื้อ  หยิบเอาธนบัตรสิบเหรียญออกมาแล้วหย่อนใส่พื้น

(แท้จริงแล้วในเวลานั้น  เงินสิบเหรียญเป็นเงินจำนวนมากพอสมควร  และบ้านเราก็ไม่ใช่คนร่ำรวย)

แล้วพ่อก็ก้มตัวลงเก็บธนบัตรฉบับนั้นกลับขึ้นจากพื้น  ตบไหล่คนเป็นพ่อบ้านครอบครัวนั้น  ก่อนจะบอกเขาว่า
"ขอโทษ  คุณทำเงินหล่นไปสิบเหรีญ"

คุณพ่อท่านนั้นหันมามองหน้าพ่อผมอย่างตกใจ  แต่แล้วดูเหมือนเขาจะเข้าใจทุกสิ่งที่เกิดขึ้น  แม้เขาไม่ได้ขอความช่วยเหลือจากใคร  แต่เขาคงจะซาบซื้งใจอย่างที่สุด  ในช่วงเวลาวิกฤตและลำบากใจเช่นนั้น  มีคนใจดียื่นมือให้ความช่วยเหลือเขาอย่างแนบเนียนที่สุด

เขามองหน้าพ่อผมด้วยสายตาแห่งความปลาบปลื้ม  จับมือพ่อผมเขย่าอยู่นาน  ธนบัตรฉบับนั้นถูกกำแน่นอยู่ท่ามกลางมือของผู้ชายสองคน  เขาบอกพ่อผมว่า  "ขอบคุณมากๆ  มันมีความหมายต่อครอบครัวผมอย่างที่สุด"

เราพ่อลูกเดินทางกลับบ้าน  แม้ผมจะไม่มีโอกาสได้ดูละครสัตว์ในคืนนั้นดั่งใจคาดหวัง  แต่พอนึกถึงสีหน้าที่ยิ้มย่องผ่องใสอย่างมีความสุขของเด็กๆหกคนนั้น  ใจผมก็พลอยเป็นสุขไปกับพวกเขาด้วย  ผมไม่ได้เสียใจหรือผิดหวัง  เพราะผมรู้ว่าสิ่งที่พ่อทำคือสิ่งที่ดีที่สุด  ผมบอกตัวเองว่า เมื่อโตขึ้น  ผมก็จะทำดีแบบเดียวกับที่พ่อทำ

แม้เหตุการณ์จะผ่านไปนานมากแล้วก็ตาม  แต่ทุกครั้งที่ผมคิดถึงเรื่องนี้  มันยิ่งตอกย้ำทำให้ผมเข้าใจการกระทำของพ่อผมในคืนนั้นมากยิ่งขึ้น พ่อไม่ใช่คนร่ำรวย  แต่ผมเชื่อว่าพ่อเป็นผู้ให้ที่ยิ่งใหญ่  นอกจากความเมตตาปราณีที่พ่อยื่นให้ผู้อื่นแล้ว  แต่พ่อก็ยังเลือกวิธีที่จะช่วยประคองศักดิ์ศรีของผู้รับไว้อย่างนิ่มนวล  มันทำให้ผมตระหนักว่า  การทำดีอาจไม่จำเป็นต้องไปเที่ยวโฆษณาหรือมีพิธีรีตองให้คนอื่นต้องรับรู้  แต่มันควรจะมาจากใจที่เปี่ยมความเมตตาเป็นพื้นฐานสำคัญ 

ขอบคุณพ่อที่ทำตัวอย่างดีๆให้ผมได้เรียนรู้ตั้งแต่เด็ก  พ่อไม่ได้ทิ้งสมบัติอะไรให้ผมมากมาย  แต่บทเรียนชีวิตล้ำค่ามากมายที่พ่อมอบให้ผมนั้น  มันมีค่ายิ่งกว่าทรัพย์สินเงินทองใดๆเสียอีก 

รักและเคารพพ่ออย่างที่สุดในชีวิต

"ขจรศักดิ์"
แปลและเรียบเรียง
www.facebook.com/Flintlibrary

ไม่มีความคิดเห็น: