หญิงชรามีท่าทีเศร้าหมอง
และภายใต้ความเศร้านั้นก็มีความละอายแก่ใจอยู่ด้วย คืนนั้น ฟิโอเรลโล ลากวาเดีย
ซึ่งเป็นนายกเทศมนตรีนครนิวยอร์กในขณะนั้นเป็นผู้พิพากษา
ฟิโอเรลโล
ถามหญิงชรา “คุณขโมยขนมปังไปจริงหรือ?”
หญิงชราก้มหัวตอบอย่างหดหู่
“ฉันขโมยขนมปังจริงๆ ค่ะท่าน”
ผู้พิพากษาถามต่อว่า
“เพราะเหตุใดคุณจึงต้องขโมยขนมปัง
คุณไม่มีอะไรจะกินหรือ?”
หญิงชราเงยหน้าขึ้นบอกผู้พิพากษา
“ใช่ค่ะ ฉันหิวมาก
แต่ฉันไม่ได้ขโมยขนมปังไปเพื่อกินเอง ลูกเขยของฉันทิ้งครอบครัวไป
ลูกสาวของฉันล้มป่วย หลานสองคนของฉันไม่ได้กินอะไรมาหลายวัน ฉันไม่อาจทนเห็นหลานตัวเล็กๆ
ทนหิวได้”
ห้องพิจารณาคดีเงียบกริบหลังได้ฟังคำอธิบายของหญิงชรา
ผู้พิพากษากล่าวกับหญิงชราว่า
“ทุกคนเท่าเทียมกันภายใต้กฎหมาย
สำหรับข้อหาขโมยขนมปังคุณเลือกเอาว่าจะจ่ายค่าปรับ 10 เหรียญ หรือติดคุกเป็นเวลา
10 วัน”
หญิงชราตอบ
“ท่านผู้พิพากษา
ฉันยอมรับโทษในทุกสิ่งที่ฉันทำ หากฉันมีเงิน 10 เหรียญ ฉันจะไม่ขโมยขนมปังหรอก
ดังนั้นโปรดจำคุกฉันเถิด
แต่สิ่งเดียวที่ฉันห่วงคือใครจะดูแลลูกสาวและหลานของฉันในช่วงเวลาที่ฉันติดคุก”
ผู้พิพากษาหยุดคิดพักหนึ่ง
แล้วเขาก็ล้วงกระเป๋าหยิบธนบัตรสิบเหรียญขึ้นมาถือในมือ แล้วกล่าวว่า “ผมจะจ่ายค่าปรับให้คุณสิบเหรียญ
คุณกลับบ้านไปได้”
ผู้พิพากษาหันไปพูดกับคนที่มาฟังการพิจารณาคดีในที่นั้นว่า
“นอกจากนั้น ผมขอปรับทุกคนในห้องนี้คนละ
50 เซนต์ โทษฐานที่พวกคุณเมินเฉยและไร้น้ำใจในสังคม
หญิงชราคนนี้ไม่ควรจะต้องขโมยขนมปังเพื่อประทังชีวิตหลานและคนในครอบครัวหากพวกคุณให้การช่วยเหลือเธอ
คุณไบลีฟ โปรดเก็บเงินจากทุกคน คนละ 50 เซนต์ แล้วมอบเงินนั้นให้ผู้ต้องหา”
ทุกคนในที่นั้นรวมไปถึงเจ้าของร้านขนมปังที่ฟ้องร้องนำหญิงชรามาขึ้นศาล
ตลอดจนเจ้าหน้าที่ตำรวจและผู้มาฟังการตัดสินรู้สึกภูมิใจที่ได้มีส่วนร่วมในการจ่ายค่าปรับคนละ
50 เซนต์ พวกเขายอมรับและยืนขึ้นปรบมือชื่นชมผลการตัดสิน
วันรุ่งขึ้นหนังสือพิมพ์ลงข่าวการมอบเงินค่าปรับจำนวน
47.5 เหรียญ ให้กับหญิงชราผู้น่าสงสารเพื่อนำไปซื้ออาหารให้ครอบครัว
ผลการตัดสินคดีของผู้พิพากษากระตุ้นให้ผู้คนในสังคมได้เห็นว่า
ทุกคนมีส่วนร่วมในทุกข์สุขของกันและกัน
และหากมีอาชญากรรมเนื่องด้วยเรื่องของปากท้องเช่นนี้เกิดขึ้นในชุมชน
นั่นก็หมายถึงเราทุกคนมีส่วนเป็นผู้สมรู้ร่วมคิด
เราทุกคนต่างเกี่ยวเนื่องกัน
หากคนหนึ่งทุกข์ คนอื่นๆ ก็จะทุกข์ตาม เราจะต้องคอยเป็นหูเป็นตาให้กัน
เพื่อมิให้มีใครคนใดคนหนึ่งถูกลืมไปจากสังคม
คำพิพากษา
เรียบเรียงมาจากเรื่องเล่าส่วนหนึ่งในชีวิตจริงของ ฟิโอเรลโล ลากวาเดีย
อดีตนายกเทศมนตรีผู้มีชื่อเสียงและเป็นที่ยอมรับแห่งมหานครนิวยอร์ก
1 ความคิดเห็น:
ทำให้นึกถึงภาพยนตร์โฆษณาเรื่องคนขายก๋วยเตี๋ยวที่ช่วยจ่ายค่ายาให้เด็กที่ขโมยยาไปให้แม่ที่ป่วย ซึ่งต่อมาเด็กได้กลายเป็นหมอมารรักษาคนขายก๋วยเตี๋ยวที่ล้มป่วยลง และ จ่ายค่ารักษาให้ ซึ่งเล่ากันว่ามีเค้าโครงเรื่องมาจากเรื่องจริงของต่างประเทศ
ความผิดสีขาวมีอยู่จริง เช่นเดียวกับความถูกต้องสีดำก็มีอยู่จริงเช่นกันครับ
นิติศาสตร์ ถึงต้องคู่กับ รัฐศาสตร์ ครับ
อนุชาติ
แสดงความคิดเห็น