วันจันทร์ที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2568

110 สุดยอดคำพิพากษา


....


ในเมืองนิวยอร์ค เมื่อปี ค.ศ. 1935 มีการพิพากษาคดีหนึ่งในยามหัวค่ำอันหนาวเหน็บของเดือนมกราคม หญิงชราคนหนึ่งตกเป็นผู้ต้องหาคดีลักขโมยขนมปังหนึ่งก้อน


หญิงชรามีท่าทีเศร้าหมอง และภายใต้ความเศร้านั้นก็มีความละอายแก่ใจอยู่ด้วย คืนนั้น "ฟิโอเรลโล ลากวาเดีย" ซึ่งเป็นนายกเทศมนตรีนครนิวยอร์กในขณะนั้นเป็นผู้พิพากษา


ฟิโอเรลโล ถามหญิงชราว่า “คุณขโมยขนมปังไปจริงหรือ?”


หญิงชราก้มหัวตอบอย่างหดหู่ “ฉันขโมยขนมปังจริงๆ ค่ะท่าน”


ผู้พิพากษาถามต่อว่า “เพราะเหตุใดคุณจึงต้องขโมยขนมปัง คุณไม่มีอะไรจะกินหรือ?”


หญิงชราเงยหน้าขึ้นบอกผู้พิพากษา “ใช่ค่ะ ฉันหิวมาก แต่ฉันไม่ได้ขโมยขนมปังไปเพื่อกินเอง ลูกเขยของฉันทิ้งครอบครัวไป ลูกสาวของฉันล้มป่วย หลานสองคนของฉันไม่ได้กินอะไรมาหลายวัน ฉันไม่อาจทนเห็นหลานตัวเล็กๆ ทนหิวได้”


ห้องพิจารณาคดีเงียบกริบหลังได้ฟังคำอธิบายของหญิงชรา


ผู้พิพากษากล่าวกับหญิงชราว่า “ทุกคนเท่าเทียมกันภายใต้กฎหมาย สำหรับข้อหาขโมยขนมปังคุณเลือกเอาว่าจะจ่ายค่าปรับ 10 เหรียญ หรือติดคุกเป็นเวลา 10 วัน”


หญิงชราตอบ “ท่านผู้พิพากษา ฉันยอมรับโทษในทุกสิ่งที่ฉันทำ หากฉันมีเงิน 10 เหรียญ ฉันจะไม่ขโมยขนมปังหรอก ดังนั้นโปรดจำคุกฉันเถิด แต่สิ่งเดียวที่ฉันห่วงคือใครจะดูแลลูกสาวและหลานของฉันในช่วงเวลาที่ฉันติดคุก”


ผู้พิพากษาหยุดคิดพักหนึ่ง แล้วเขาก็ล้วงกระเป๋าหยิบธนบัตรสิบเหรียญขึ้นมาถือในมือ แล้วกล่าวว่า “ผมจะจ่ายค่าปรับให้คุณสิบเหรียญ คุณกลับบ้านไปได้”


ผู้พิพากษาหันไปพูดกับคนที่มาฟังการพิจารณาคดีในที่นั้นว่า “นอกจากนั้น ผมขอปรับทุกคนในห้องนี้คนละ 50 เซนต์ โทษฐานที่พวกคุณเมินเฉยและไร้น้ำใจในสังคม หญิงชราคนนี้ไม่ควรจะต้องขโมยขนมปังเพื่อประทังชีวิตหลานและคนในครอบครัวหากพวกคุณให้การช่วยเหลือเธอ คุณไบลีฟ โปรดเก็บเงินจากทุกคน คนละ 50 เซนต์ แล้วมอบเงินนั้นให้ผู้ต้องหา”


ทุกคนในที่นั้นรวมไปถึงเจ้าของร้านขนมปังที่ฟ้องร้องนำหญิงชรามาขึ้นศาล ตลอดจนเจ้าหน้าที่ตำรวจและผู้มาฟังการตัดสินรู้สึกภูมิใจที่ได้มีส่วนร่วมในการจ่ายค่าปรับคนละ 50 เซนต์ พวกเขายอมรับและยืนขึ้นปรบมือชื่นชมผลการตัดสิน


วันรุ่งขึ้นหนังสือพิมพ์ลงข่าวการมอบเงินค่าปรับจำนวน 47.5 เหรียญ ให้กับหญิงชราผู้น่าสงสารเพื่อนำไปซื้ออาหารให้ครอบครัว


ผลการตัดสินคดีของผู้พิพากษากระตุ้นให้ผู้คนในสังคมได้เห็นว่า "ทุกคนมีส่วนร่วมในทุกข์สุขของกันและกัน และหากมีอาชญากรรมเนื่องด้วยเรื่องของปากท้องเช่นนี้เกิดขึ้นในชุมชน นั่นก็หมายถึงเราทุกคนมีส่วนเป็นผู้สมรู้ร่วมคิด"


เราทุกคนต่างเกี่ยวเนื่องกัน หากคนหนึ่งทุกข์ คนอื่นๆ ก็จะทุกข์ตาม เราจะต้องคอยเป็นหูเป็นตาให้กัน เพื่อมิให้มีใครคนใดคนหนึ่งถูกลืมไปจากสังคม


คำพิพากษา เรียบเรียงมาจากเรื่องเล่าส่วนหนึ่งในชีวิตจริงของ "ฟิโอเรลโล ลากวาเดีย" อดีตนายกเทศมนตรีผู้มีชื่อเสียงและเป็นที่ยอมรับแห่งมหานครนิวยอร์ก แม้แต่สนามบินลากวาเดีย ก็ยังตั้งชื่อตามชื่อท่าน

Cr:Ammy Chumnankit

วันพุธที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2567

109 รางวัลของความอดทนและพยายาม


...

เมื่อเด็กขายดอกไม้ที่ศรีลังกากลายเป็นไวรัลในจีน

:

1- “ดิลิป มาดูชานกา” (Dilip Madushanka) เป็นชื่อของเด็กชายชาวศรีลังกา เขาอาศัยอยู่ที่ Kotmale ซึ่งเป็นเมืองบนเนินเขาที่มีทิวทัศน์สวยงาม ครอบครัวของเขามีด้วยกัน 6 คน ประกอบด้วย พ่อ แม่ พี่สาว 2 คน และยาย


2- ครอบครัวของดิลิปมีฐานะยากจน เด็กชายต้องออกจากโรงเรียนกลางคันเพื่อมาทำงานเป็นเด็กขายดอกไม้หาเงินจุนเจือครอบครัว เขาทำอาชีพนี้มาเกือบ 10 ปีแล้ว ปัจจุบันเขาอายุ 17 มีรายได้เฉลี่ยเดือนละ 30,000 รูปี (ราว 3,600 บาท)


3- ทุกวันดิลิปจะนำดอกไม้ที่ขึ้นอยู่บนเขามาทำเป็นช่อ แล้วเอาไปขายให้รถนักท่องเที่ยวที่ขับผ่านไปมา ถนนสายนี้ตัดผ่านเนินเขา ไร่ชา และมีโค้งมากมาย เด็กชายจะไปดักรอตามริมทางพร้อมดอกไม้ในมือ แต่ไม่ใช่ดิลิปคนเดียวที่ทำอาชีพนี้ มีหลายคนยึดอาชีพนี้หาเลี้ยงครอบครัว


4- ส่วนใหญ่ดอกไม้ของพวกเขามักไม่ได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยว แต่ดิลิปไม่เคยย่อท้อ เด็กชายวิ่งข้ามเขา ลัดเลาะไปตามสุมทุมพุ่มไม้ เพื่อจะไปโผล่ตรงโค้งข้างหน้า ดักรอให้รถคันเดิมเห็นอีกครั้ง เพื่อเปลี่ยนใจพวกเขา


5- ดิลิปจะโผล่ออกมาตรงข้างทาง ชูช่อดอกไม้พร้อมรอยยิ้ม ทั้งที่หายใจหอบและเหงื่อไคลไหลย้อย แต่รอยยิ้มไม่เคยหายไปจากใบหน้า แต่ละวันเขาต้องวิ่งหลายกิโล และบางครั้งเขาวิ่งเท้าเปล่า แต่ดิลิปไม่เคยขวางรถคันไหนให้หยุด เขาแค่วิ่งไปดักรอข้างทางเท่านั้น


6- เมษายน 2024 คือวันเปลี่ยนชีวิตของดิลิป เมื่อมีรถทัวร์บรรทุกนักท่องเที่ยวจีนขับผ่านมา คนบนรถสังเกตเห็นดิลิปโผล่ออกมาตรงจุดแรกพร้อมดอกไม้และรอยยิ้ม แต่รถทัวร์ขับผ่านไป ยังไม่มีใครสนใจดอกไม้ของเขา


7- ดิลิปไม่ยอมแพ้ วิ่งขึ้นเขาไปตามทางลัด แล้วไปโผล่ตรงโค้งหน้าเป็นจุดที่ 2 ชูดอกไม้และรอยยิ้มอีกครั้ง แต่ก็ยังไม่มีใครสนใจ ดิลิปวิ่งขึ้นเขาอีกครั้งเพื่อไปโผล่ยังจุดที่ 3 และ 4 อย่างไม่รู้เหน็ดเหนื่อย คนบนรถทั้งสงสารทั้งประทับใจในความพยายาม จึงบอกให้รถทัวร์จอดตรงจุดที่ 5


8- โอกาสที่รถทัวร์จะจอดและเปิดประตูให้คนขายดอกไม้ขึ้นไปขายบนรถนั้นมีน้อยมาก นี่คือโชคที่ไม่ได้มาบ่อย ๆ นักท่องเที่ยวบนรถช่วยกันซื้อดอกไม้ของเขาจนหมด และถ่ายคลิปมาโพสต์ใน Douyin (ติ๊กต็อกจีน) ปรากฏว่าคลิปนี้ไวรัลในจีนสุด ๆ มียอดวิวถึง 150 ล้านวิว


9- คนจีนประทับใจในความมุ่งมั่นและรอยยิ้มที่บริสุทธิ์ของดิลิป คนจีนบอกว่า พวกเขาจ่ายเงินนี้ไม่ใช่เพราะดอกไม้ แต่เพราะการทำงานหนัก พลังบวกที่มีชีวิตชีวา ความอุตสาหะพยายาม และทัศนคติของดิลิปที่มีต่อลูกค้า


10- ดิลิปกลายเป็นทูตท่องเที่ยวโดยไม่รู้ตัว เขาได้ส่งสารที่ทรงพลังไปถึงคนทั่วโลก คนจีนแห่กันไปเที่ยวศรีลังกาเพียงเพื่อจะได้ซื้อดอกไม้และถ่ายรูปกับดิลิป


11- น้ำใจจากคนจีนหลั่งไหลไปหาดิลิป พวกเขานำข้าวของเครื่องใช้ อาหาร เสื้อผ้า รองเท้า โทรศัพท์มือถือ ฯลฯ ไปให้ องค์กรต่าง ๆ ในจีนเดินทางไปดูความเป็นอยู่ของเขา เชิญเขามาเป็นแขกรับเชิญในรายการต่าง ๆ ความช่วยเหลือเหล่านี้ยังเผื่อแผ่ไปถึงเพื่อนร่วมอาชีพของดิลิปด้วย


12- ดิลิปกลายเป็นแรงบันดาลใจของคนจีน ในแง่ที่ว่าเราจะไม่ยอมจำนนต่อชีวิต เราจะคว้าทุกโอกาสเหมือนที่ดิลิปวิ่งลัดเลาะไปโผล่ตามจุดต่าง ๆ เพื่อสร้างโอกาสในการขายดอกไม้ โดยไม่แคร์ทั้งระยะทางและอุปสรรคทางภาษา


13- ดิลิปได้จุดประกายความหวังให้กับคนจีนที่เพิ่งผ่านพ้นโรคระบาดครั้งใหญ่และสูญเสียอะไรไปมากมาย ทุกก้าววิ่งและรอยยิ้มเปื้อนเหงื่อของดิลิปเหมือนเป็นการบอกพวกเขาว่า “อย่ายอมแพ้และอย่าสูญเสียความหวังนะ”



















🎥 มี 5 คลิปในคอมเมนต์ค่ะ

วันศุกร์ที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2566

108 เด็กน้อยกับตุ๊กตา

 ...

        ฉันเดินเล่นอยู่ในห้าง ขณะที่เดินผ่านแคชเชียร์แผนกตุ๊กตา ก็ได้ยินพนักงานพูดกับเด็กชายตัวน้อยๆว่า "เงินไม่ครบนะจ๊ะ ไปหาเงินให้ครบก่อนแล้วค่อยมาซื้อใหม่" เด็กชายตอบว่า "ช่วยลองนับใหม่อีกทีได้เปล่าครับ" แคชเชียร์ก็ลองนับดู ซึ่งก็ไม่ครบเหมือนเดิม จึงบอกเด็กน้อยว่า "เงินมันไม่ครบจ๊ะ ไว้มีครบค่อยมาใหม่นะจ๊ะ" เด็กน้อยยังคงถือตุ๊กตาไว้ "ฉันจึงเข้าไปถามเด็กน้อยว่าหนูอยากได้มากเลยเหรอ" เด็กน้อยตอบกลับมาว่า "พี่สาวผม เค้าชอบและอยากได้ตุ๊กตาตัวนี้มากครับ" "ผมต้องการให้เป็นของขวัญวันเกิดพี่ ผมจะเอาไปให้แม่ เพราะแม่สามารถเอาไปให้พี่เค้าได้" เด็กน้อยแววตาเต็มไปด้วยความโศรกเศร้า และพูดต่อว่า "พี่สาวผม เค้าไปอยู่กับพระเจ้าแล้ว..." "พ่อผมบอกว่า แม่ ก็กำลังจะตามไปเร็วๆนี้ ผมเลยตั้งใจจะฝากแม่ผมไปให้พี่" ฉันฟังแล้วหัวใจแทบหยุดเต้น เด็กน้อยมองมาที่ฉัน และพูดต่อ "ผมบอกพ่อว่า อย่าเพิ่งให้แม่ไปจนกว่าผมจะกลับมาจากห้าง" จากนั้นเด็กน้อยให้ดูรูปๆหนึ่ง เป็นรูปของเขากับพี่สาวกำลังหัวเราะกันอย่างมีความสุข แล้วเล่าต่อว่า "ผมอยากเอารูปนี้ ฝากให้แม่ไปด้วย เอาไปให้พี่สาวผม เค้าจะได้ไม่ลืมผม" "ผมไม่อยากให้แม่จากไปเลย แต่พ่อบอกว่าแม่ต้องไปหาพี่" พูดจบเด็กน้อยก็ก้มมองตุ๊กตาด้วยใบหน้าน้ำตาไหลนอง ทุกอย่างนิ่งเงียบสนิท ครั้งตั้งสติได้ ฉันก็ควักกระเป๋าสตางค์ และถามแคชเชียร์ว่า "ยังขาดอีกเท่าไหร่ค่ะ" แล้วฉันก็จ่ายส่วนที่ขาดให้ เด็กน้อยพูดขึ้นมาว่า "ขอบคุณพระเจ้า" เด็กน้อยมาหน้าฉันแล้วเล่าให้ฟังว่า "เมื่อคืน ผมวิงวอนขอจากพระเจ้าให้มีเงินซื้อตุ๊กตานี้เพื่อที่จะฝากให้แม่ไปให้พี่สาวผม และผมยังขอดอกกุหลาบสีขาว ซึ่งแม่ผมชอบมากไว้ด้วย ผมรู้สึกได้ พระเจ้าบอกให้ผมมาที่นี่ แต่ผมไม่ได้ถามอะไรมากไปกว่านั้น" 

 

หลังจากเดินห้างเสร็จ ในหัวฉันคิดวนไปวนมาแต่เรื่องเด็กน้อย และก็นึกขึ้นได้ถึงข่าวในหนังสือพิมพ์ของสองวันก่อน เป็นข่าวอุบัติเหตุรถบรรทุกชนกับรถเก๋ง ในรถเก๋งเด็กหญิงตายในที่เกิดเหตุ และคุณแม่อาการหนัก ส่วนฝ่ายรถบรรทุกบาดเจ็บสาหัสเช่นกัน ตรวจสอบแล้ว คนขับรถบรรทุกเมาแล้วขับ ซึ่งตอนนี้ คุณพ่อของเด็กหญิงที่ตาย อยู่ที่โรงพยาบาลดูอาการของ แม่เด็กหญิงที่ตาย และตัดสินใจ จะให้หมอ ถอดสายช่วยชีวิตออก เนื่องจากอาการหนักมากๆ ไม่สามารถรักษาได้ ทำได้แค่เพียงรั้งชีวิตไว้ให้ได้นานที่สุด ซึ่งคนไข้ จะทรมานมาก ฉันก็เริ่มคิดว่า คนในข่าวนี้ ใช่ครอบครัวของเด็กน้อยในวันนี้รึเปล่า 

 

สองวันหลังจากนั้น ฉันก็เห็นข่าวว่า คุณแม่คนนั้น ได้เสียชีวิตแล้ว ด้วยความคาใจ ว่าใช่ครอบครัวของเด็กน้อยในวันนั้นรึเปล่า ฉันจึงลองหาข้อมูลของผู้ตาย สอบถามจากคนละแวกนั้นว่าผู้ตายทำพิธีศพที่ไหน และฉันก็ตามไปจนเจอ 

 

สิ่งที่ฉันพบจากหลุมฝังศพผู้หญิงในข่าวก็คือ รูปภาพประดับบนโลงศพ เป็นรูปเธอยืนถือช่อกุหลาบสีขาวด้วยใบหน้ายิ้มแย้มอย่างมีความสุข , รูปภาพของเด็กชายกับเด็กหญิง กำลังหัวเราะกันอย่างร่าเริง และ ตุ๊กตาหน้าตาละม้ายคล้ายคลึงกับตัวที่เด็กน้อยซื้อไปในวันนั้น ฉันเดินออกจากสถานที่นั้น ด้วยความรู้สึกเหมือนมีใครมาบีบหัวใจไว้ และไม่อยากจะเชื่อ ว่าเด็กน้อยคนนั้นจะเป็นลูกของเธอจริงๆ ได้แต่คิดถึงความรักของเด็กน้อยที่มีต่อแม่ และพี่สาวของเขา และสิ่งที่ทำลายทุกอย่างของเด็กน้อยผู้นี้ คือ ความเห็นแก่ตัว ของผู้ที่ เมาแล้วขับ มันทำลายทุกอย่างไปจากเขา 

  

**** เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงที่ประเทศอังกฤษ ****

ได้มาจากไลน์

วันพฤหัสบดีที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2566

107 ความหมายของ 12 นักษัตร จากชาวจีน

...


ในงานเลี้ยงครั้งหนึ่งที่กรุงปักกิ่งของนายก รมต.โจว เอินไหล ชาวจีนกลุ่มหนึ่งมาร่วมงานในฐานะเจ้าบ้าน คณะแขกในงานคือ ชนชั้นสูงที่ส่วนใหญ่เป็นวงศาคณาญาติของเครือราชวงศ์ในแถบประเทศยุโรป แขกทุกคน ล้วนมีการศึกษาสูง และกิริยามารยาทในสังคมดีเลิศทั้งนั้น 

แต่เบื้องหลังแต่ละคน ล้วนซ่อนความหยิ่งยโสไว้เกือบทุกคน อาจเป็นเพราะงานคืนนั้น เป็นงานเลี้ยงส่งคณะผู้มาเยือนเป็นคืนสุดท้าย แต่ละคนอาจดื่มหนักไปหน่อยเลยพูดจาค่อนข้างปล่อยวางตามอำเภอใจและแล้ว ก็มีฝรั่งท่านหนึ่ง ลุกขึ้นยืน แล้วถามว่า

"ขอทราบเหตุผลหน่อย ทำไมปีนักษัตร ๑๒ ราศีของจีน จึงมีแต่พวกหมู หมา กา ไก่ มาเป็นตัวสัญลักษณ์

ไม่เห็นจะเหมือนของพวกเราเลย ล้วนฟังดูดี มีสกุล  เช่น กลุ่มดาวคนยิงธนู กลุ่มดาวสิงโต กลุ่มดาวแมงป่อง


ไม่รู้บรรพบุรุษพวกคุณ เอาส่วนไหนของร่างกายมาคิดตั้งราศีบ้าๆ พวกนี้ออกมา?"

พอพูดจบ ก็เป็นเสียงฮาเฮของเหล่าฝรั่งหัวแดง พร้อมชนแก้วดื่มกันสนั่นหวั่นไหว ความเป็นผู้ดีหายไปในชั่วพริบตา

เมื่อถูกเขาเจริญพรถึงบรรพบุรุษกันขนาดนี้ จะเถียงเขาอย่างไรดี จะทุบโต๊ะแสดงความไม่พอใจก็ย่อมจะทำได้  แต่อาจเพราะยังตั้งหลักไม่ทัน ต่างคนต่างยังเก็บความเคืองแค้นด้วยความเงียบ

แต่แล้วก็มีชาวจีนท่านหนึ่ง ลุกขึ้นยืน แล้วใช้น้ำเสียงอันราบเรียบที่สุภาพพูดขึ้นว่า

"ท่านทั้งหลาย  บรรพบุรุษของพวกเรามักยืนอยู่บนฐานแห่งความเป็นจริง ปีราศีของพวกเราจับกันเป็นคู่ๆ  หมุนเวียนกันหกรอบ แสดงถึงความหวังและความต้องการของบรรพบุรุษของเราที่มีต่อพวกเราทุกคน"

ในเวลานั้น เสียงฮาเฮเริ่มค่อยๆ เบาบางลง แต่สีหน้าของชาวต่างชาติแทบทุกคนยังคงแฝงไว้ด้วยแววตาที่เย้ยหยัน


"ราศีคู่แรก คือหนูและวัว หนูคือ ตัวแทนของความเฉลียวฉลาด วัวคือ สัญลักษณ์ของความขยัน


หากคนเราฉลาด แต่ขี้เกียจ ก็ไปไม่ได้ไกล

แต่ถ้าขยันแล้ว แต่ไร้หัวคิด ก็กลายเป็นไอ้โง่


สองสิ่งนี้ ต้องบวกกันเป็นหนึ่ง ก็คือคนฉลาดที่ขยัน  นั่นคือสิ่งแรกและเป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่บรรพบุรุษคาดหวังในตัวพวกเรา"


"คู่ที่สองคือเสือและกระต่าย 

เสือ มีความกล้าหาญเต็มร้อย กระต่าย มีความระมัดระวังเป็นคุณสมบัติประจำตัว

ความกล้าบวกกับความระมัดระวัง ถึงจะเรียกว่าคนใจถึง แต่รอบคอบ

หากมีแต่ความกล้า มันคือ ความมุทะลุ

 หากมีแต่ความระแวดระวังเกินกว่าเหตุ มันคือความขี้ขลาด"


คนจีนผู้นั้น มองกลุ่มฝรั่งนิดนึง แล้วพูดต่อ เพื่อรักษามารยาทอันดีงาม

"บางครั้ง อาจเห็นพวกเรามักนิ่งเงียบ คงจะกำลังครุ่นคิด จงอย่าเข้าใจว่าพวกเราไม่มีความกล้าซ่อนอยู่"


"คู่ที่สามคือมังกรและงู 

(งูใหญ่และงูเล็กของไทย) มังกรคือความแข็งแกร่ง งูคือ ความพลิ้วไหว ชีวิตที่แข็งทื่อเกินไปอาจต้องเผชิญกับการแตกหัก

'ยอมหักไม่ยอมงอ' จึงอาจไม่ใช่สิ่งดีเสมอไป แต่พลิ้วไหวไป ก็ไร้จุดยืน เพราะฉะนั้น ในความแข็งแกร่ง ต้องมีความอ่อนโยนซ่อนอยู่  ผู้ใหญ่ท่านสอนไว้แบบนี้"


"คู่ต่อไปคือ ม้าและแพะ 

ม้า มุ่งตะลุยไปข้างหน้าอย่างเดียว แพะ คือ สัญลักษณ์ของความอ่อนโยน

หากคนเราเอาแต่ลุยไปข้างหน้า ไม่สนใจสิ่งแวดล้อมรอบข้าง คงต้องกระทบกระทั่งเขาไปทั่ว หนทางสู่จุดหมายปลายทาง คงทุลักทุเลน่าดู

แต่ถ้ามีแต่ความอ่อนโยน ว่านอนสอนง่าย สุดท้ายต้องหลงทางแน่นอน สองสิ่งนี้ ต้องรวมกัน เส้นทางสู่จุดหมายจึงจะราบเรียบ"


"คู่ต่อไปคือ ลิงกับไก่ 

ลิง มีความว่องไว ไก่ ขันตามเวลาทุกเช้า มันคือความแน่นอน ความว่องไว ที่ปราศจากความแน่นอน เขาเรียกว่าความวุ่นวาย

ความแน่นอน แต่เชื่องช้าเกินเหตุ อันนี้ชีวิตอับเฉา ไร้รสชาติ ชีวิตต้องดำเนินไปด้วยความสมดุลของสองสิ่งนี้ แล้วชีวิตจะสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น"


"คู่สุดท้ายคือสุนัขและสุกร 

สุนัข มีความซื่อสัตย์สูงสุด  สุกรว่านอนสอนง่ายที่สุด

คนเรา ถ้าซื่อตรงจนเกินไป ไม่รู้จักผ่อนกฎผ่อนเกณฑ์กันบ้าง จะสร้างศัตรูโดยไม่รู้ตัว หรืออาจเครียดเกินเหตุ


แต่หากหัวอ่อนไป ก็จะไม่มีบรรทัดฐานของตัวเอง ลู่ไปตามลม คงไม่ดีแน่ แต่การรวมกันของสองสิ่งนี้เข้าด้วยกัน ความสมดุลจะเกิดขึ้นภายในจิตใจเรา"

พออธิบายที่มาของสิบสองราศีจนครบถ้วน ชาวจีนผู้นั้นจึงถามชาวยุโรปว่า


"คงต้องขอทราบว่า สิบสองราศีของพวกคุณ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มดาวแมงป่อง คนแบกหม้อ คนยิงธนู มีความหมายต้องการจะสื่ออะไรหรือเปล่า

แล้วที่บรรพบุรุษพวกคุณคัดสรรพวกนี้ออกมา ต้องการหรือคาดหวังอะไรจากพวกคุณบ้าง ช่วยชี้แนะด้วยครับ"


มีแต่ความเงียบ......

ไม่มีคำตอบ ไม่ได้ยินแม้แต่เสียงหายใจแรงๆ


ชาวจีนที่อาสาเป็นผู้อธิบายถึงความหมายและที่มาของสิบสองราศีท่านนี้ ก็คืออดีตนายกรัฐมนตรีของประเทศจีน ที่ชื่อว่า "โจว เอิน ไหล"


"ขจรศักดิ์"


แปลและเรียบเรียงมา

https://www.winnews.tv/news/21556


💡💡💡💡💡💡💡💡

วันศุกร์ที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2565

106 เป็นพราะโชคชะตาที่มีบุญหนุนนำ

 

...

ที่มณทลเหอเป่ยมีโชเฟอร์ขับรถบรรทุกสินค้าเต็มคันไปส่งยังต่างถิ่น ระหว่างทางเจอเขาถล่มปิดถนน ไม่สามารถไปต่อได้ เขาไม่รู้จะทำประการใดดี ก็ไปขอค้างคืนที่บ้านหลังนึงในบริเวณนั้น  เจ้าของบ้านที่เป็นหญิงชราตาบอดอายุราว60ปีคนนึง ดูเป็นคนอ่อนโยนและใจดี เธอได้ทำซุบเกี๊ยวและใส่ไข่สองฟองด้วยเครื่องปรุงที่มีเอกลักษณ์ของเธอให้เขากิน  โชเฟอร์ที่หิวจนจะเป็นลมอยู่นั้นก็ทานอย่างรวดเร็ว แต่ทานไปทานไปก็ร้องไห้โฮออกมา

หญิงตาบอดแปลกใจถามว่า เป็นอะไรไป ร้องไห้ทำไม ไม่อิ่มก็จะทำให้ทานอีกชามนะ โชเฟอร์บอกว่าอิ่มแล้วครับอิ่มแล้วครับ ตอนเด็กๆ เขาชอบทานซุบเกี๊ยวที่แม่ทำให้เป็นพิเศษฯลฯ แต่ตอนเด็กๆพลัดกับครอบครัวถูกคนขายเด็กเอาไปขายยังต่างถิ่น ก่อนถูกลักพาตัวตัวนั้นชอบทานซุบเกี๊ยวที่แม่ทำเป็นพิเศษ

รสชาติเหมือนชามนี้ไม่มีผิด

 ทำให้อดคิดถึงแม่ไม่ได้ 

หญิงชราฟังแล้วก็ร้องไห้ออกมาเช่นกัน

เพราะลูกชายของเธอได้หายไปตอน6ขอบ เธอเสียใจร้องไห้จนตาบอด หากลูกยังอยู่ปีนี้อายุ43แล้ว

โชเฟอร์ก็อายุ43ปี เขาแปลกใจมาก จึงพากันไปตรวจDNA ผลออกมาคือสองคนเป็นแม่ลูกกัน สองแม่ลูกที่พลัดจากกันทราบผลก็ดีใจสุดพรรณนา แม่ลูกโอบกอดด้วยความปีติยิ่งฯลฯ

105 สุดยอดนักขาย

 ...

"จะขายหวีให้พระภิกษุอย่างไร"

ก่อนที่จะอ่านบทความต่อไปนี้ ลองครุ่นคิดใคร่ครวญดูว่า

หากคุณเป็นพนักงานขาย เจ้านายใช้ให้คุณขายหวีให้แก่

พระภิกษุ ซึ่งไม่มีความจำเป็นที่จะต้องใช้หวีเลย   คุณจะ

ทำอย่างไร ลองนำไปทดสอบกับเพื่อนๆที่อยู่ข้างกายคุณ

ดูซิว่า เพื่อนของคุณเป็นคนประเภทไหน

 

# คนแรก  พอออกจากห้องผู้จัดการ    ก็ด่าโขมงโฉงเฉง...

ไอ้เห้.. พระมีผมที่ไหนวะ จะขายหวีได้ยังไง  ว่าแล้วก็ไป

ดื่มเหล้านจนเมา กลับไปนอนตื่นมาก็ไปรายงานผู้จัดการว่า

"พระไม่มีผม ขายหวีไม่ได้หรอก..."

ผู้จัดการฟังแล้วยิ้มๆ

"พระไม่มีผมต้องให้เอ็งมาบอกข้ารึ... หุหุ"


คนที่สอง มาถึงวัด บอกกับเจ้าอาวาสว่า

"ช่วยผมซื้อหวีสักอันเถอะ ถ้าผมขายไม่ได้ผมก็ไม่ได้งาน

ท่านเป็นพระ ต้องมีเมตตานะ..."

เจ้าอาวาสเลยซื้อไว้ 1 อัน...


คนที่สาม มาขายหวีที่วัด เจ้าอาวาสบอก

"ไม่มีความจำเป็นต้องใช้.."

เจ้าคนนี้เดินดูรอบๆวัด แล้วถามเจ้าอาวาสว่า

"ไหว้พระต้องจริงใจไหม"

พระบอก

"ต้อง.."

"แล้วจริงใจต้องแสดงออกถึงความเคารพไหม"

พระบอก

"ต้องสิ.."

คนๆนั้นก็เลยพูดว่า

"ดูสิ ผู้คนเขามาจากที่ไกลๆมาไหว้พระ มาถึงเนื้อตัวมอม

แมมไปด้วยฝุ่นผมเผ้ารุงรัง ทำไมไม่ซื้อหวีไว้ให้พวกเขา

หวี ล้างหน้าล้างตาให้สะอาด แล้วค่อยเข้าไปไหว้เล่า.."

เจ้าอาวาสคิดแล้วมีเหตุผล เลยซื้อไว้ 10 อัน...


คนที่สี่ มาขายหวีที่วัดเช่นกัน เจ้าอาวาสบอก

"ไม่ต้องการอีกแล้ว"

แต่คนนั้นบอกว่า

"ถ้าทางวัดซื้อหวีไว้แจกเป็นของขวัญให้คนมาไหว้จะเป็น

ของขวัญที่ทั้งมีประโยชน์และมีความหมาย  เงินทำบุญก็จะได้เยอะขึ้น..."

เจ้าอาวาสคิดแล้วมีเหตุผล ก็เลยซื้อไว้ 100 อัน...


คนที่ห้า มาขายหวีอีก เจ้าอาวาสบอก

"รับไม่ไหวแล้ว"

แต่คนนั้นบอกเจ้าอาวาสว่า

"ดูท่านก็เป็นสงฆ์ที่มีบารมี ลายมือพู่กันจีนของท่านก็สวย

ทำไมท่านไม่แกะสลักลงบนหวี เช่นคำว่า'หวีแคล้วคลาด

ปลอดภัย' 'หวีทวีบุญแล้วแจกให้ผู้มาไหว้พระเล่า  นี่ไม่เพียงเผยแพร่ศาสนายังส่งเสริมการเขียนพู่กันจีนอีกด้วย"

พระท่านยิ้มๆ บอกว่า

"ประเสริฐแท้"

จึงซื้อหวีไว้ 1,000 อัน...


คนที่หก  มาขายหวีเช่นกัน    เจ้าอาวาสรีบปฏิเสธก่อน

เช่นเคย  แต่พอคนนี้กระซิบคุยกับเจ้าอาวาส  ท่านตกลง

ซื้อเลย 10,000 อัน  เขาคุยอะไรกับเจ้าอาวาสหรือ...เขา

บอกเจ้าอาวาสว่า

"หวีเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องพกติดตัวโดยเฉพาะผู้หญิง (เห็นมะต้องคิดแบบยิว เรื่องผู้หญิงต้องมาก่อนเป็นไม่ผิด.อิอิ)

ถ้าท่านเอาหวีเหล่านี้มาปลุกเสก   มันก็จะกลายเป็นของ

ขลังไว้ปกป้องตัวเขา   เขาจะได้ทั้งทำบุญและปลอดภัย

แคล้วคลาด   บางทีอาจเช่าไปฝากมิตรสหายด้วย  นี่ไม่

เพียงได้บุญกุศล  ยังได้เผยแพร่ศาสนา   เผยแพร่ชื่อวัด

ด้วย... เรื่องดีๆอย่างนี้ ท่านจะไม่ทำหรือ..."

เจ้าอาวาสรีบประนมมือ..

"อมิตตะพุทธ ประเสริฐยิ่ง   ในเมื่อโยมมีความปารถนาดี

เยี่ยงนี้ ทำไมอาตมาจะไม่ทำเล่า..."

ว่าแล้วก็ซื้อหวีไว้ 10,000 อัน  ตั้งชื่อว่า 'หวีทวีบุญ' 'หวี

แคล้วคลาดปลอดภัย'      แล้วทำการปลุกเสกด้วยตนเอง

กลับเป็นที่นิยมยิ่ง... และแน่นอน เงินทำบุญบริจาคก็ได้

มากเป็นเงาตามตัว...

.......

แง่คิด

คนที่หนึ่ง

ถูกจำกัดด้วยกรอบความคิด

ไม่เหมาะที่จะเป็นนักขาย...

 

คนที่สอง

ขายแบบเรียกร้องความเห็นใจ

หรือขายแบบขอทาน ไปได้ไม่ไกล...

 

คนที่สามและที่สี่

คิดแทนผู้บริโภค คือทำให้ลูกค้าพอใจ อันนี้ ใช้ได้...

 

คนที่ห้า

ไม่เพียงทำให้ลูกค้าพอใจ

ยังไปสอพลอถึงในใจลูกค้าด้วย

นี่เรียกว่านักขายชั้นเซียน...

 

แต่คนที่หกนี่สิ... โครตเซียน

สุดยอดในการเข้าถึงทั้งวัตถุและคน

ไม่ใช่ขายหวี แต่ขายเครื่องรางของขลัง

ทำให้คุณค่าของลูกค้า อั๊ปไปจนถึงขั้นสูงสุด...สุดยอด


เซลล์ธรรมดาจะขายสินค้า  แต่เซลล์เทวดาจะขายฝัน... 

Cr:เรื่องดีๆมีข้อคิด


วันจันทร์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2565

99 เจอร์เมน เกรชแฮม

 

...


ก่อนขึ้นเครื่องกลับบ้าน - - เดไลลาห์ นักศึกษาสาวจากมหาวิทยาลัยแอริโซนาสเตต มีปัญหาเล็กน้อยกับทางสายการบิน  กระเป๋าที่เธอจะเอาติดตัวขึ้นเครื่องบินนั้นมีขนาดใหญ่เกินกว่าที่กำหนด เธอต้องเสียค่าธรรมเนียม 50 เหรียญ ซึ่งต้องจ่ายด้วยบัตรเครดิตเท่านั้น ไม่รับเงินสด! ปัญหาคือเธอไม่มีบัตรเครดิตติดตัว!

.

พนักงานสายการบินบอกว่ามิเช่นนั้น ต้องกลับไปจ่ายที่เคาน์เตอร์ซื้อตั๋วด้านนอก ซึ่งนั่นจะทำให้เธอพลาดเที่ยวบินนี้ ขณะกำลังหมดหนทาง ไม่รู้จะทำอย่างไรดี ชายคนหนึ่งคงได้ยินเรื่องราวทั้งหมด เดินมาถามว่า เท่าไหร่ครับพนักงานสายการบินบอกว่า 50 เหรียญ เขาตอบสั้น ๆ ว่า ผมจ่ายให้เอง

.

เดไลลาห์ตกตะลึงในความใจดีของชายคนนี้ แม้จะพยายามบอกเขาว่าไม่เป็นไร แต่เขาก็ยื่นบัตรเครดิตให้ทางพนักงานสายการบินรูดทันที เมื่อเรียบร้อยแล้ว เขาหันมาบอกเธอว่า เดินทางปลอดภัยนะครับ แล้วรีบจากไปขึ้นเครื่อง...

.

เดไลลาห์น้ำตาไหลกับความใจดีของชายแปลกหน้า ที่จู่ ๆ ก็โผล่มาช่วยทันเวลา เธอคิดในใจ เขาต้องเป็นเหล่าเทวดานางฟ้าที่ปลอมตัวมาช่วยเธอแน่ ๆ เลย - -

.

แล้วเธอก็เห็นเขาอีกครั้งบนเครื่อง นั่งอยู่ในชั้นเฟิสต์คลาส จึงตรงไปหาพร้อมยื่นเงินสดคืนให้ เขาปฏิเสธไม่รับบอกว่า ให้ pay it forward ช่วยเหลือคนอื่นต่อไป...

.

หัวใจของเดไลลาห์พองโตด้วยความปีติ เมื่อรู้ว่ายังมีคนดี ๆ อยู่ในโลกนี้ - -

.

จงเป็นใครคนนั้นสำหรับใครบางคนในยามที่เขาหรือเธอต้องการ เดไลลาห์บอกตัวเองว่าตั้งแต่นี้ไป เธอจะเป็น ใครคนนั้นสำหรับคนอื่นอย่างแน่นอน!

.

หากเรื่องจะจบลงแค่นี้ ก็สวยงามอบอุ่นใจแล้ว...

.

แต่หลังจากที่เดไลลาห์เล่าเรื่องนี้ทางโซเชียลมีเดีย พร้อมรูปถ่ายเซลฟี่กับชายแปลกหน้าใจดีคนนั้น เธอก็มีข้อมูลอัพเดทต่อมาว่า - - แท้จริงแล้ว ชายแปลกหน้าที่ช่วยเธอคนนี้ คือ เจอร์เมน เกรชแฮม นักกีฬาระดับ NFL (National Football League) เป็นนักกีฬาอเมริกันฟุตบอลระดับอาชีพของอเมริกา!

.

เรื่องนี้จึงดูพิเศษขึ้นมาทันที และเมื่อผมลองไปค้นคว้าต่อ ก็พบว่ามันพิเศษยิ่งไปกว่านั้นอีก!

.

เจอร์เมน เกรชแฮม เป็นนักกีฬามีชื่อเสียงและมีรายได้หลายสิบล้านเหรียญ!  แต่ที่น่าสนใจคือ เขาเป็นคนมีน้ำใจดีมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว กรณีของเดไลลาห์ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขายื่นมือช่วยเหลือ - - มีเรื่องเล่าผ่านทางโซเชียลมีเดียเกี่ยวกับเจอร์เมนอยู่เสมอ เช่น เขาเคยจ่ายเงินให้ผู้หญิงคนหนึ่งในซูเปอร์มาร์เก็ตที่พยายามรวบรวมเศษเหรียญเพื่อจ่ายค่านมขนมปังและผ้าอ้อม...

.

ครั้งหนึ่ง พนักงานโรงแรมหรู ตกตะลึงเมื่อเห็นเจอร์เมนขับรถเข้ามาจอด แล้วมีคนไร้บ้าน(ที่สกปรกส่งกลิ่น ตามคำบอกเล่าของพนักงานคนนั้น) ลงจากรถตามมาด้วยอีกสามคน เขาพาคนเหล่านั้นมาทานอาหาร และยังพาไปซื้อเสื้อผ้าใหม่ให้ด้วย!

. . . . .

.

เคยมีคำถามสงสัยว่า ทำไมพระเจ้าถึงสร้างคนเรามาไม่เท่ากัน? ในความเป็นจริง พระเจ้าได้ให้พระพรสวรรค์ติดตัวมากับเราทุกคน เพียงแต่ว่าไม่เหมือนกัน เราต้องหา ความสามารถพิเศษนั้นในตัวเองให้เจอ ต้องมีวินัย ฝึกฝน มุ่งมั่น และหมั่นใช้ให้ถูกทาง! หากโชคดี-ใช้พระพรนั้นจนประสบความสำเร็จ สร้างความแข็งแรงและความมั่งมีให้กับตัวเองได้ ก็ต้องรู้จักเอื้อเฟื้อ ช่วยเหลือ แบ่งปันคนที่อ่อนแอและยากไร้กว่า...

.

เจอร์เมน เกรชแฮม รู้กฎข้อนี้ดี เมื่อทางโลกประกอบสร้างตัวตนให้ยิ่งใหญ่ เขาไม่เคยหลงใหล-เอาเปรียบใคร  กลับยิ่งถ่อมตนลงต่ำ-ทำตัวเล็กลง คอยดูแลเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน

.

นี่คือตัวอย่างจากสวรรค์! นี่คือคนที่พระเจ้าต้องการให้เราเป็น!

.

ปะการัง.

ที่มา : Deliliah Cassidy

https://www.facebook.com/pakarangWriter/